นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 387

เฟิ่งชิงเฉินพลันหยักหน้าลงเล็กน้อย เพื่อสื่อว่านางเข้าใจแล้ว หากว่ากองกำลังของฝ่าบาทเข้าจับกุมเช่นนั้น อำนาจของฝ่าบาท เหล่าขุนนางจะกล้าคิดตอบโต้ได้อย่างไรกัน

เฉกเช่นตระกูลหวัง ทุกคนภายในตระกูลล้วนแต่อาศัยอยู่ในตระกูลหวังเช่นนี้ หากพวกเขาคิดทรยศหักหลังตงหลิงขึ้นมา ฝ่าบาทย่อมออกคำสั่งให้ประหารพวกเขาไปในทันที เพื่อที่จะจัดการฆ่าล้างโคตรตระกูล หากคิดจะให้พวกเขาหลบหนีไปก่อนงั้นหรือ? คนในตระกูลหวังมีเป็นพันเป็นหมื่นคนเช่นนั้น จะให้พวกเขาหนีไปได้อย่างไร

แม้ว่าเหล่าตระกูลขุนนางทั้งหลายจะไม่กล้าคิดทรยศหักหลัง ถึงแม้ว่าฝ่าบาทเองจะไม่ค่อยพอใจมากนัก แต่เพราะองค์ก็มิรีบร้อน ที่จะหาทางกำจัดพวกเขาทิ้งไป อีกทั้งเหล่าจวนตระกูลขุนนางเองก็ไม่ต้องการที่จะให้แคว้นเกิดความระส่ำระสาย หากไม่มีแว่นแคว้น ก็ไม่มีพวกเขา หากแคว้นตงหลิงเกิดถึงคราวล่มสลายไป ก็ไม่แน่ว่า ตระกูลหวังในตงหลิงก็อาจจะเป็นคนวาดเขียนประวัติศาตร์รุ่นต่อไปก็ได้

ในราชวงศ์ก่อน ก็มีเหล่าจวนขุนนางน้อยใหญ่ ที่ต้องล่มสลายตามไปยามที่ตระกูลหลานถูกทำลายลงเช่นกัน

ระหว่างอำนาจของเหล่าตระกูลขุนนางและอำนาจของฝ่าบาทนั้น เฟิ่งชิงเฉินมิค่อยเข้าใจนัก อีกทั้งนางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจพวกมันเช่นกัน นางกลับรู้สึกสงสัยยิ่งนัก" ในเมื่อจักรพรรดิองค์ก่อนของหนานหลิงเป็นคนตระกูลหวัง แล้วเหตุใดถึงใช้สกุลหนานหลิงเล่า?"

"เพราะว่า เขาไปเข้าร่วมกับหนานหลิง ถึงได้ละทิ้งสกุลหวังไป ทั้ง ๆ ที่ราชวงศ์หนานหลิงกับตระกูลหวังหาได้มีความสัมพันธ์อันใดไม่ ยามที่เขาละทิ้งสกุลหวังไปในครานั้น เขาก็ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลหวังอีกต่อไป อีกทั้งตระกูลหวังเอง ก็มิได้คิดว่าเขาคือหนึ่งในตระกูลหวังเช่นกัน พวกเขาก็เป็นแค่ความอัปยศของตระกูลหวังเท่านั้น" คนสกุลหวังพวกเขาภาคภูมิใจในตระกูลของตนเองยิ่งนัก พวกเขาล้วนแต่รู้สึกว่า การที่ได้ใช้สกุลหวังถือเป็นเกียรติยิ่งนัก

ภายหลัง นอกจากสี่ตระกูลที่ถูกกำจัดไปในราชวงศ์ที่แล้ว ทั้งสกุลหลาน สกุลหลี่เฟิ่งและสกุลชุย ก็ไม่มีผู้สืบทอดคนใดหลงเหลืออยู่อีก นี่ถือเป็นความอัปยศของตระกูลหวัง และราชวงศ์หนานหลิงก็ถือเป็นความอัปยศของตระกูลหวังด้วยเช่นกัน

ตระกูลหวังมิเคยนับถือราชวงศ์หนานหลิงเป็นลูกเป็นหลานของตน อีกทั้งยังรู้สึกว่าพวกเขาเป็นศัตรูต่อตระกูลหวังยิ่งนัก เรื่องนี้ แม้แต่จักรพรรดิทั้งสี่แคว้นก็ทรงทราบเรื่องราวทั้งหมด ฉะนั้นแล้ว พวกเขาจึงมิต้องเป็นกังวล ว่าตระกูลหวังจะไปเข้าร่วมกับราชวงศ์หนานหลิง

ความภาคภูมิใจในชาติกำเนิดของเหล่าขุนนาง ราชวงศ์คนใดก็ไม่อาจล้ำเส้นเข้ามาได้

"ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หนานหลิงจิ่นฝานต้องการความยอมรับจากพวกเจ้า ฉะนั้นแล้วเข้าถึงฟังความของเจ้า?" เฟิ่งชิงเฉินพอจะเข้าใจเรื่องราวได้ในทันที มีบางคนที่ให้ความสำคัญกับตระกูลตนเองมากนัก ผู้นำตระกูลนับว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว พวกเขาสามารถทำทุกอย่างเพื่อผู้นำตระกูลได้ แม้แต่ยอมตาย ถ้าหากมีคนใดคนหนึ่งถูกขับไล่ออกจาตระกูลไปแล้ว คนผู้นั้นก็จะถูกใต้หล้ามองดูด้วยความเหยียดหยาม และจะไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป

หนานหลิงจิ่นฝานจึงให้ความเคารพต่อผู้นำตระกูลหวังมากนัก ผู้ที่ไม่ให้ความสนใจก็คือจักรพรรดิองค์ก่อน เมื่อใกล้จะตายถึงได้คิดเสียดายขึ้นมา ที่ตนเองได้ละทิ้งสกุลของตนเองไปเช่นนี้ พร้อมกับขอร้องให้ลูกหลานรุ่นหลัง ให้ทำตามความปรารถนาสุดท้ายของตน คือการทำให้คนในตระกูลหวังยอมรับพวกเขา เพื่อที่จะได้กลับคืนสู่รากเหง้าของตนเองเสียที

"ราชวงศ์หนานหลิงคาดหวังมาโดยตลอดว่า ตระกูลหวังจะสามารถยอมรับพวกเขาได้ ลูกหลานที่เหลืออยู่ของพวกเขาจะได้ไม่ต้องมาใช้สกุลของหนานหลิงอีก แล้วเปลี่ยนมาใช่สกุลหวังแทน แต่ถึงกระนั้น ตระกูลหวังก็หาได้เคยยอมรับในตัวพวกเขาไม่ ถ้าหากทำได้ละก็ ตระกูลหวังก็อยากจะใช้เลือดล้างชีวิตของคนราชวงศ์หนานหลิงไปเสียให้หมด"

เมื่อพูดถึงการล้างเลือดขึ้นมานั้น หวังจิ่นหลิงกลับแย้มยิ้มขึ้นมาด้วยความอ่อนโยน

ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน เฟิ่งชิงเฉินก็เปรียบเสมือนแหนที่ลอยไปลอยมา เกียรติยศวงศ์ตระกูลหรือชื่อเสียงในตระกูล นับว่าห่างไกลจากเฟิ่งชิงเฉินยิ่งนัก ความรับผิดชอบของผู้นำตระกูล ก็ไม่ได้เข้าใกล้นางเลยสักนิด

เมื่อเห็นสถานการณ์ของหวังจิ่นหลิงและหนานหลิงจิ่นฝานแล้ว เพราะความประนีประนอมของพวกเขา ทำให้เฟิ่งชิงเฉินคล้ายว่าจะได้รับโชคไปเล็กน้อย เนื่องจากนางไม่มีตระกูล ทั้งยังไม่ต้องเสียสละอะไรเพื่อตระกูลของตนเองอีกด้วย

ยามที่ตระกูลของตนได้ปกป้องพวกเจ้า ในขณะเดียวก็ได้มอบอำนาจให้กับเจ้าเช่นกัน ฉะนั้นเจ้าถึงได้ต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ในตระกูลด้วย แต่สิ่งที่เฟิ่งชิงเฉินกลัวมากที่สุด ก็คือหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ สิ่งที่นางพร้อมจะรับผิดชอบเพียงอย่างเดียวก็คือ การรักษาผู้คน

เมื่อได้สนองความอยากรู้อยากเห็นของตนเองแล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็มิได้ถามเรื่องราวของตระกูลหวังอีก หากนางรู้มากเท่าใด นางก็จะตายเร็วมากเท่านั้น ทุก ๆ ตระกูลล้วนแต่ไม่อยากให้คนนอกมารับรู้ความลับของตระกูลตนเอง

เรื่องของหนานหลิงจิ่นฝานนั้น ก็นับว่าเป็นความลับของตระกูลหวังเช่นกัน การที่หวังจิ่นหลิงเล่าให้นางฟังเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเขาเชื่อใจนาง เช่นนั้นแล้ว นางก็ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังสำหรับความเชื่อใจที่เขามีให้เช่นกัน

เฟิ่งชิงเฉินจึงได้เอนตัวเข้าไปพึงบนรถม้า เพื่อสื่อว่านางไม่ต้องการฟังอีกแล้ว หวังจิ่นหลิงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมกับไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีกเช่นกัน คนขับรถม้าตระกูลหวังมีฝีมือเป็นเลิศยิ่งนัก เฟิ่งชิงเฉินที่นั่งอยู่ภายในรถม้า หาได้รู้สึกถึงการความกระแทกใด ๆ ไม่ อีกทั้งยังไม่จำเป็นต้องจับยึดสิ่งใดภายในรถม้าอีกด้วย

ฉะนั้นแล้ว ยามที่รถม้าได้หยุดลงอย่างกะทันหันนั้น เฟิ่งชิงเฉินและหวังจิ่นหลิงที่มิได้มีการเตรียมตัว ทั้งสองคนพลันหน้าคะมำลงไปด้านหน้า ในขณะเดียวกัน ก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ด้านนอกดังเข้ามาในทันที

"ระวัง" ยามที่หวังจิ่นหลิงพยายามที่จะชะลอการล้มของตนเองลงไปนั้น ก็พลันเห็นเฟิ่งชิงเฉินล้มลงมาพอดี เขาที่ล้มลงไปไวกว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้น จึงได้กลายเป็นเบาะมนุษย์สำหรับเฟิ่งชิงเฉินไปโดยปริยาย

"อุ๊ก"

ยามที่หวังจิ่นหลิงตกลงมานั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ล้มทับเขาในทันที ใบหน้าของทั้งสองพลันเข้าหากัน พร้อมกับริมฝีปากของเฟิ่งชิงเฉินที่ประกบลงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ