นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 480

สรุปบท บทที่ 480 การตกหลุมรัก มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

อ่านสรุป บทที่ 480 การตกหลุมรัก มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม จาก นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บทที่ บทที่ 480 การตกหลุมรัก มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายInternet นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย อาช้าย อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง

เฟิ่งชิงเฉินไม่เคยคิดว่าตนเองนั้นเป็นคนที่ดีเลิศ แต่นางก็มีความรับผิดชอบสูง การแข่งขันกับซูหว่านคือหน้าที่ของนางในตอนนี้ ตราบใดที่นางยังพอมีแรงอยู่ก็ต้องทำหน้าที่นี้ให้สำเร็จลุล่วง

เฟิ่งชิงเฉินลืมตาแล้วสำรวจสภาพร่างกายของตนเอง เมื่อแน่ใจว่าไม่เป็นอะไรแล้วก็รีบลงจากเตียง แต่งกายให้เรียบร้อย แล้วเตรียมกลับเข้าไปในเมือง

แต่ทว่า เมื่อนางเปิดประตูก็ต้องพบกับองครักษ์เข้ามาขวาง "แม่นางเฟิ่ง ท่านอ๋องทรงมีรับสั่งว่าไม่ให้ท่านออกไปไหนเด็ดขาด เชิญท่านไปนอนพักก่อนเถิด"

"ข้าไม่เป็นไรแล้ว ไปทูลท่านอ๋องของท่านนะว่าข้าสามารถกลับเองได้" หลังจากที่นางได้นอนไปสักพักหนึ่งแล้วก็รู้สึกดีขึ้น อาการเจ็บเข่าก็ทุเลาลงไปมาก ดูก็รู้ว่ามีคนมาคอยดูแลนาง

ส่วนเรื่องกลับเข้าเมือง เฟิ่งชิงเฉินเชื่อว่าเสด็จอาเก้าคงเตรียมการเอาไว้แล้ว เพราะหากนางเกิดแพ้ขึ้นมาก็เท่ากับว่าเขาต้องเสียหน้าด้วย

"ขออภัย รับสั่งของท่านอ๋อง พวกเราจำเป็นต้องทำตาม ท่านอ๋องทรงสั่งให้แม่นางเฟิ่งไปพักผ่อนให้เต็มที่ขอรับ" องครักษ์ยังคงยืนขวางหน้าเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ช่างน่าหงุดหงิดเสียเหลือเกิน

เฟิ่งชิงเฉินชื่นชมเหล่าทหารที่ปฏิบัติตามคำสั่งมาตลอด แต่เมื่อถึงคราวที่นางต้องมาเจอคำสั่งก็ทำให้นางอารมณ์เสียไม่น้อย

เฟิ่งชิงเฉินรู้ดีว่าหากไม่มีคำสั่งจากเสด็จอาเก้า องครักษ์สองคนนี้ก็คงไม่มีทางปล่อยนางออกไปแน่ จึงไม่เสียเวลาโต้เถียงกับพวกเขา

"รบกวนพวกท่านช่วยไปทูลท่านอ๋องทีว่าข้าต้องการพบ" เสด็จอาเก้าคงจะรู้ดีว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้นั้นสำคัญเพียงใด แต่ถ้าหากเขาไม่ให้นางกลับเข้าเมือง นางก็คงไม่มีทางเลือกอื่น

องครักษ์ที่ยืนเฝ้าประตูต่างก็มองหน้ากันแล้วจึงพยักหน้า จังหวะที่เขากำลังจะเอ่ยปาก ประตูห้องข้างๆก็เปิดออกในทันที เสด็จอาเก้าเดินออกมา เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินฟื้นแล้วแรกๆก็ดีใจ แต่ไปๆมาๆเขากลับขมวดคิ้วและเอ่ยกับนางว่า "หมอบอกว่าเจ้ายังอ่อนเพลียอยู่ ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ใครให้เจ้าลุกขึ้นมาแบบนี้"

เมื่อพูดจบก็หันไปจ้ององครักษ์ตาเขม็ง เป็นการตำหนิที่พวกเขาดูแลเฟิ่งชิงเฉินไม่ดีพอ องครักษ์ทั้งสองก็ไม่กล้าปริปาก ได้แต่ถอยหลังไปยืนก้มหน้านิ่ง

"หม่อมฉันลุกขึ้นมาเองเพคะ เสด็จอาเก้าอย่าทรงโทษพวกเขาเลย ชิงเฉินเป็นหมอ ชิงเฉินรู้ว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้วเพคะ" เฟิ่งชิงเฉินโน้มตัวคารวะ เป็นการแสดงให้เขาเห็นว่าตนเองอาการดีขึ้นมากแล้วและสามารถเดินทางกลับเข้าเมืองได้

หากกลับเมืองในตอนนี้ ก็ยังพอมีเวลาให้นางได้นอนพัก

เสด็จอาเก้ารีบก้าวเท้ามาประคองเฟิ่งชิงเฉินที่กำลังโน้มตัว "เด็กโง่ ไม่สบายอยู่แล้วจะฝืนไปทำไม เป็นหมอแล้วอย่างไร เป็นหมอก็ล้มป่วยได้เหมือนกัน"

เขาพูดนั่นพูดนี่โดยไม่สนใจว่าเฟิ่งชิงเฉินจะฟังหรือไม่ฟัง แล้วประคองนางเดินเข้าไปในห้อง

"เสด็จอาเก้า" นางพยายามดิ้น แต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากอ้อมกอดของเขาได้

เสด็จอาเก้าไม่ฟังเฟิ่งชิงเฉิน เขาพานางไปนอนลงบนเตียง "หมอบอกว่าเจ้าต้องนอนพักผ่อน"

จังหวะที่เขาจับเฟิ่งชิงเฉินวางลงบนเตียงนั้น หัวใจของเขาก็เต้นอย่างรุนแรง เขารู้สึกคอแห้งและร้อนรุ่มไปทั่วท้อง

เสด็จอาเก้าหูแดง อาการเช่นนี้หมายความว่าอะไรเขาเข้าใจเป็นอย่างดี เสด็จอาเก้าไม่กล้าขยับตัว ได้แต่ประคองร่างเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ แล้วจ้องหน้านางอยู่แบบนั้น......

เขาต้องการเวลาในการระงับความร้อนรุ่มในจิตใจ

เนื่องจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้เสด็จอาเก้าตื่นตกใจ โชคดีที่ใบหน้าของเขาเย็นชา นอกจากตัวเขาเองแล้ว คนอื่นๆก็ไม่มีใครมองเห็นความผิดปกติ

คนทั้งสองแนบชิดติดกันมาก เฟิ่งชิงเฉินเบิกตาโต ตอนนี้นางได้เห็นความหล่อเหลาของเสด็จอาเก้าอย่างใกล้ชิด ร่างกายของนางก็ติดอยู่ในอ้อมกอดของเขา ราวกับว่านี่เป็นโลกอีกใบหนึ่ง เสด็จอาเก้าเหมือนท้องฟ้าของนาง ในสายตาเฟิ่งชิงเฉินตอนนี้ไม่มีสิ่งอื่นใดอีกแล้ว นอกจากภาพเสด็จอาเก้า

ระยะห่างที่เหลือเพียงน้อยนิด ทำให้ลมหายใจไปสัมผัสกับอีกฝ่าย เสด็จอาเก้าที่อยู่ตรงหน้านางทำให้นางรู้สึกกดดันเป็นพิเศษ ใบหน้าหล่อเหลาชวนหลงใหล ผสานกับกลิ่นหอมจากตัวเขา ทำให้นางตกอยู่ในภวังค์

ตุบๆๆ......หัวใจเต้นเร็วกว่าที่เคย อุณหภูมิภายในห้องก็สูงขึ้น เฟิ่งชิงเฉินอยากผลักเขาไปให้พ้น แต่นางก็มิอาจทำได้ ทันทีที่นางลืมตา ก็มีดวงตาพราวเสน่ห์สีดำขลับของเสด็จอาเก้าจ้องมองอยู่ตรงหน้า ดวงตาคู่นั้นปราศจากอารมณ์ เฟิ่งชิงเฉินเห็นแล้วก็รู้สึกราวกับว่านางไม่สามารถขยับตัวได้เลย

เสด็จอาเก้าที่กำลังพยายามทำจิตใจให้สงบไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเฟิ่งชิงเฉิน จนเมื่อเขาปรับสภาพจิตใจให้สงบลงได้แล้วก็รีบหลบสายตาในทันที หลังจากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้กับเฟิ่งชิงเฉิน "เอาล่ะ เจ้านอนพักเถอะนะ เรื่องอื่นปล่อยให้ข้าจัดการเอง"

เมื่อคลุมผ้าห่มเสร็จแล้วก็จัดแจงปลายผ้าห่มให้คลุมตัวนางอย่างมิดชิด เมื่อพอใจแล้วเขาจึงถอยออกจากเตียงนอน แล้วไปลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งเพื่อนั่งลงที่ข้างๆเตียงนาง

ตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินเริ่มได้สติแล้ว ดวงตาคู่งามของนางมองไปยังเสด็จอาเก้าด้วยแววตาสงสัย

นี่เสด็จอาเก้าจะมาเฝ้านางนอนหรืออย่างไร?

"มีอะไรหรือเปล่า? ไม่สบาย? หิวน้ำ? หิวข้าว? ทรมาน? หรือว่าเจ้าอยากใช้ห้องน้ำ?" เสด็จอาเก้าเห็นเฟิ่งชิงเฉินนิ่งเงียบอยู่นานจึงได้เอ่ยถามขึ้น แม้แต่เรื่องที่เป็นเรื่องส่วนตัว เสด็จอาเก้าก็ถามอย่างสุภาพ

เฟิ่งชิงเฉินส่ายหน้า คนตรงหน้าใช่เสด็จอาเก้าจริงๆหรือ?

ความเลือดเย็นของเสด็จอาเก้าหายไปไหนเสียแล้ว? จากท่าทีที่เขาใส่ใจนาง ทำให้นางรู้สึกว่าเขาเหมือนมามาสูงอายุในวังหลวงที่ดูแลจัดแจงทุกอย่างเป็นอย่างดี

เฟิ่งชิงเฉินยื่นมือออกมาจากผ้าห่ม แล้วเอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเสด็จอาเก้า ในตอนแรกเสด็จอาเก้าก็ตกใจ แต่สักพักก็ปล่อยนางตามสบาย เขารู้สึกอุ่นใจมาก แต่เพราะเหตุใดจึงอุ่นใจเช่นนี้ เสด็จอาเก้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

แต่เสด็จอาเก้าเหมือนว่าจะไม่เห็น เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แน่นิ่ง "พักผ่อนเถอะ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่"

หา......เฟิ่งชิงเฉินตกตะลึง "เอ่อ ไม่ต้องก็ได้นะเพคะ......"

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นเร็วมาก เร็วจนนางตั้งตัวไม่ติด เฟิ่งชิงเฉินหัวใจสั่นรัว นางจะกล้าให้เสด็จอาเก้านั่งเฝ้านางในขณะที่นางนอนหลับได้อย่างไร

"ไม่เป็นไรหรอก ก็เจ้าไม่สบาย จะว่าไปแล้วก็มีข้าเป็นต้นเหตุ" เสด็จอาเก้าพูดกับนางด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าเสียงนั้นช่างอ่อนโยนปานขนนกที่ล่องลอย แต่ก็ทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย

ก่อนหน้านี้นางอาเจียนหนักมาก จึงเหมารวมว่าเป็นความผิดของเสด็จอาเก้า ตอนแรกนางก็นึกว่าเสด็จอาเก้าจะโกรธนาง แต่ที่ไหนได้......

เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ด้วยความรู้สึกผิด เฟิ่งชิงเฉินจึงนอนตะแคงข้าง โดยหันหลังให้เสด็จอาเก้า "ก็แล้วแต่นะเพคะ"

เสด็จอาเก้าอมยิ้มโดยที่ไม่ได้พูดอะไรอีก......

เฟิ่งชิงเฉิน นางคงจะยกโทษให้เขาแล้วสินะ

ภายในบ้านไม้หลังเล็ก มีแสงสลัวจากตะเกียงดวงหนึ่ง บางทีก็สว่างแต่บางทีก็สลัว แสงจากตะเกียงส่องกระทบไปยังร่างคนทั้งสอง เฟิ่งชิงเฉินนอนหลับตา เมื่อนางรู้ว่ามีเสด็จอาเก้านั่งอยู่ข้างหลังนางก็รู้สึกสุขใจ

หรือว่าผู้ชายคนนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่นางเคยคิด นางไม่ควรยอมแพ้แต่เนิ่นๆ นางควรสู้ต่อไปต่างหากล่ะ

แต่ว่า......ผู้ชายคนนี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอันดับหนึ่งของที่นี่ หากวันใดวันหนึ่งนางกลายเป็นอุปสรรคชีวิตเขาขึ้นมา เมื่อถึงวันนั้นแล้วนางจะถูกเขากำจัดอย่างโหดเหี้ยมหรือเปล่านะ?

เมื่อคิดถึงจุดนี้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินก็ชักจะลังเล นางมีความถนัดอยู่ 2 ด้าน แต่ความถนัดของนางเมื่อมาอยู่ในภพชาตินี้แล้วมันไม่ได้ช่วยอะไรนางได้มากนัก อย่าว่าแต่ทหารสักกองเลย แค่คนธรรมดาเพียงแค่ไม่กี่คนก็ทำลายชีวิตนางได้แล้ว

มีความหอมหวานย่อมมีความขื่นขม เฟิ่งชิงเฉินนอนกระสับกระส่ายอยู่สักพักแล้วจึงเคลิ้มหลับไป โดยหารู้ไม่ว่าด้านหลังของนางนั้น เสด็จอาเก้าได้เป่าตะเกียงจนดับ ก่อนจะขึ้นไปนอนบนเตียง......

อืม ยาคลายกังวลนี่มันใช้ดีจริงๆ!

ส่วนวันพรุ่งนี้ เมื่อเฟิ่งชิงเฉินทราบเรื่องการแข่งขันแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น เรื่องนี้......เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิดก็แล้วกัน!

เสด็จอาเก้าครุ่นคิดอยู่ในใจ......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ