ทหารที่เฝ้าประตูเมืองเห็นเฟิ่งชิงเฉินมาจากระยะไกลนั้น ก็บังเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แต่ด้วยหน้าที่ของตน พวกเขาจึงไม่กล้าทำตัวประเจิดประเจ้อมากนัก เมื่อเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามาต่อหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไปได้
ในยามที่ หอกยาว ๆ ทั้งสองด้ามขวางทางของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้นั้น พวกยามพลางแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น " แม่นางต้องการที่จะเข้าเมืองไปใช่หรือไม่? แม่นางเป็นคนจากที่ใดกัน ถ้าหากเจ้าต้องการจะเข้าเมืองหลวง โปรดแสดงป้ายประจำตัวของเจ้าด้วย หากเป็นคนนอกเมือง แม่นางได้โปรดแสดงเอกสารการเข้าออกเมืองด้วย"
ราชวงศ์ตงหลิงเข้มงวดในการจัดสรรประชากรยิ่งนัก ในยามที่ทุกคนเกิด พวกเขาจะต้องไปที่เจ้ากรมเพื่อทำการรายงานและลงทะเบียน เพื่อรับแผ่นป้ายเป็นหลักฐานแสดงตัวตน ด้านบนป้ายจะแสดงถึงที่อยู่อาศัยและครอบครัว คล้ายกับบัตรประจำตัวประชาชนในโลกปัจจุบัน แต่ใช้งานได้จริงมากกว่าบัตรประจำตัวประชาชนมากนัก
ในสมัยราชวงศ์ตงหลิง หรือในแผ่นดินใหญ่ทั้งเก้าแคว้นนั้น ทุกคนล้วนแต่มีป้ายประจำตัวเมื่อเกิดมา หากผู้ใดไม่มีป้าย นั่นแสดงว่าเป็นผู้ลี้ภัย และผู้ลี้ภัยก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเมืองหลวงได้ หากพบเจอสามารถฆ่าได้ตามต้องการอีกด้วย
ผู้คนที่อยู่ในเมือง ย่อมต้องลงทะเบียนเข้าและออกจากเมืองด้วย หรือผู้ที่มาจากนอกเมืองก็ต้องมีเอกสารที่ออกโดยพวกเจ้ากรม เพื่อแสดงถึงหลักฐานถิ่นที่อยู่อาศัยของพวกเขา
ดูเหมือนว่ามันจะยุ่งยากนัก แต่ก็ทำให้มั่นใจได้ถึงความปลอดภัยที่อยู่ภายในเมืองและอาชญากรรมที่เกิดจากผู้ลี้ภัยก็ยังลดลงอีกด้วย อย่างไรในยุคนี้ก็ยังมีชุดการจัดการบุคลากรที่ดีมากนัก
โดยเฉพาะพวกทาสย่อมไม่มีหลักฐานยืนยันตัวตน หลักฐานหนึ่งเดียวที่ยืนยันพวงเขาได้นั้น ก็คือรอยตราประทับคำว่า "ทาส" ที่หน้าอกนั่นเอง
โดยทั่วไปแล้ว ทาสส่วนใหญ่จะต้องถูกกักขังเอาไว้ และมีคนทหารคอยเฝ้าดูแลพวกเขาอยู่ตลอดเวลา ไม่เพียงแต่พวกทาสจะไม่ได้รับอิสระ อีกทั้งยังต้องทำงานหนักอีกด้วย
โจวสิงที่สามารถหนีออกมาจากค่ายกักกันได้นั้น ไม่รู้ว่าเขาลักลอบเข้ามาในเมืองได้อย่างไรกัน
เมื่อมีคนมาขวางทาง เฟิ่งชิงเฉินหาได้โกรธไม่ ทั้งนางยืนตัวตรง หันมามองดูทหารยามด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับสายตาที่ฉายแววเยาะเย้ยในดวงตาของนาง
ไม่ว่าจะอยู่ในยุคสมัยใด ธรรมชาติของมนุษย์ก็ล้วนแต่มืดมนเหมือนกันหมด ยิ่งผู้ที่มาชื่นชมลายผ้าปักมากเท่าใด คนที่จะมายื่นถ่านให้ในวันที่หิมะตกก็ย่อมน้อยลงมากเท่านั้น ในยามที่ผู้คนตกทุกได้ยากมากมาย ผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือก็ย่อมน้อยลงตามๆ กัน
คนเหล่านี้กำลังรอดูเรื่องราวที่หน้าขายหน้าของเฟิ่งชิงเฉินใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ดูเสีย
"เฟิ่งชิงเฉิน คนจากเมืองหลวง ป้ายประจำตัวอยู่ที่จวน ข้าไม่ได้นำมันออกมา"
ทันทีที่ทุกคนได้ยินคำพูดนั้น แม้แต่ผู้คนที่กำลังเดินผ่านไปมา ก็พลันปิดปากเงียบไปในทันที พร้อมจ้องมองมาที่นางด้วยท่าทีตกตะลึง
นางยอมรับง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ คุณหนูเฟิ่งไม่กลัวผลกระทบจากข่าวลือเลยหรืออย่างไร ถึงไม่กลัวคำนินทาของผู้คนเช่นนี้?
พวกเขาจำได้ว่า ในครั้งที่แล้ว เฟิ่งชิงเฉินไม่ค่อยพูดมากนัก อีกทั้งนางพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะปกปิดตัวตนของตนเอง
ทุกคนมองมาที่นาง นางก็มองไปที่พวกเขา โดยมิได้เอ่ยอันใดออกมาเลยแม้แต่น้อย
เฟิ่งชิงเฉินชำเลืองมองดูผู้คนที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์อย่างเย็นชา พร้อมทั้งออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า "เช่นนั้น ข้าขอเข้าไปในเมืองได้หรือไม่?"
"เรื่องนี้ หากว่าไม่มีป้ายประจำตัว เกรงว่าจะไม่ได้ขอรับ" เมื่อเห็นว่าเฟิ่งชิงเฉินหาได้สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของตนเองไม่ ทหารยามที่เตรียมแผนการจะมารังแกเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้มากมาย จึงได้ยิ้มแห้ง ๆ ตอบนางกลับ
"งั้นหรือ ถ้าหากข้าต้องเข้าไปในเมืองเล่า?" เฟิ่งชิงเฉิน พร้อมทั้งลูบผมตกลงมาบนหน้าผากของตนอย่างนุ่มนวล เพื่อเผยให้เห็นดวงตาสีเข้มของตน กำลังจ้องเข้ากับดวงตาของพวกทหารยามที่ไม่กล้าหลบหลีกไปได้
แท้จริงแล้ว หาใช่ว่าเฟิ่งชิงเฉินไม่สนใจในชื่อเสียงของตนเองไม่ อีกทั้งเรื่องภายในวันนี้ จะช้าเร็วอย่างไร ก็ต้องมีคนขุดหรือกรุเรื่องขึ้นมาใช้ทำร้ายนางอยู่ดี เช่นนั้นแล้ว ไม่สู้ตนเองใช้มันทำร้ายตนเองก่อนดีกว่าหรือ
ถึงแม้ว่า อาภรณ์ของเฟิ่งชิงเฉินจะไม่เรียบร้อย แต่ท่วงท่าในการเดินเข้าไปในประตูเมือง เต็มไปด้วยความสง่างาม ทั่วร่างของนางที่เป็นเช่นนี้ หาได้มีสิ่งใดต้องปิดบังอะไรไม่
หากเรื่องเดียวกัน แต่เปลี่ยนมุมมองที่ต่างกัน ผลลัพธ์อย่างไรก็ย่อมแตกต่างไปจากเดิมอย่างอยู่ดี
เฟิ่งชิงเฉินค่อนข้างตระหนักรู้ในประเด็นนี้ ในยุคปัจจุบันของนาง นางได้เห็นนักข่าวหลายคนเขียนฆ่าคนตายด้วยปากกาด้ามเดียวมีมากมายนัก
เมื่อทหารยามถูกเฟิ่งชิงเฉินจ้องมองมาเช่นนี้ ก็ไม่กล้าสร้างความอับอายให้กับนางอีก พร้อมทั้งกล่าวว่า "ถ้า คุณหนูเฟิ่งต้องการจะเข้าไปในเมือง เพียงแค่ให้คนในตระกูลนำป้ายประจำตัวมายืนยันก็พอแล้วขอรับ หรือบางทีอาจจะให้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงมาช่วยเป็นพยานให้ก็ได้ เพื่อมาเป็นพยานว่าคุณหนูเฟิ่งมีตัวตนอยู่ภาในเมืองหลวงจริง ๆ ก็สามารถเข้าเมืองไปได้แล้วขอรับ "
กล่าวได้ว่าสองวิธีนั้น แท้จริงแล้ว มีเพียงวิธีหลังเท่านั้นที่จะสามารถใช้การได้
ในยามนี้ ไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงไม่รู้ว่า คนในตระกูลเฟิ่งเหลือแต่เพียงเฟิ่งชิงเฉินแต่เพียงผู้เดียวแล้ว ผู้ใดจะเป็นคนนำป้ายประจำตัวมายืนยันตัวตนให้นางกันเล่า?
อย่างไรก็ตาม หากขอให้คนที่อาศัยอยู่ภายในเมืองหลวงมาช่วยเป็นพยานให้ อย่างน้อยก็ต้องใช้คนที่มีหน้ามีตาเสียหน่อย พวกเขาถึงจะเชื่อในตัวตนของเฟิ่งชิงเฉิน แต่ทว่า เฟิ่งชิงเฉินจะไปรู้จัคนพวกนั้นได้อย่างไรกัน
แน่นอนว่า มิใช่ว่าทหารยามจงใจทำให้เรื่องยุ่งยากสำหรับเฟิ่งชิงเฉิน แต่นี่เป็นเพียงหน้าที่ของพวกเขา
แต่เดิมผู้คนรอบด้าน คิดว่าจะไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว แต่ในเมื่อได้ยินทหารยามกล่าวเช่นนั้น ทุกคนก็พลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง
" เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่า คุณชายเจ็ดตระกูลหวังมีความสัมพันธ์กับคุณหนูเฟิ่ง"
"จริงหรือ? เหตุใดข้าถึงเคยได้ยินมาว่า เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลซูกัน?"
" คุณชายใหญ่ของตระกูลซูอะไรกัน เห็นได้ชัดว่า เป็นคุณชายสามของตระกูลเซี่ย"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...
ตอนที่ 1425 หายไปค่ะ...