นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 653

สรุปบท บทที่ 653 ตามสืบ ข้าต้องการรู้ความจริง: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปเนื้อหา บทที่ 653 ตามสืบ ข้าต้องการรู้ความจริง – นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บท บทที่ 653 ตามสืบ ข้าต้องการรู้ความจริง ของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย อาช้าย อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

หลังจากที่ตี๋ตงหมิงและหวังจิ่นหลิงกลับไปแล้ว ก็ไม่มีแขกเหลืออยู่ในจวนเฟิ่ง ส่วนคนอื่นๆที่รออยู่หลังจวน ทงจือและทงเหยาก็ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้ฟัง แต่ละคนจึงทยอยกลับไปด้วยความเศร้าใจ

ชุยห้าวถิงรู้ว่าตอนนี้เฟิ่งชิงเฉินต้องการอยู่ตามลำพัง จึงสั่งให้บ่าวไพร่ออกไปกันให้หมด ในขณะเดียวกัน เขาก็ให้คนไปส่งข่าวให้ซุนซือสิงที่อยู่ที่เรือนเล็กซีชวีทราบ

เขากับเฟิ่งชิงเฉินไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันมากนัก จะปลอบโยนเฟิ่งชิงเฉินก็คงไม่สะดวก ส่วนซุนซือสิง ถึงอย่างไรก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของเฟิ่งชิงเฉิน ให้เขามาช่วยปลอบโยนนางน่าจะเหมาะสมกว่า

ภายในห้องที่กว้างขวาง นอกจากกระดูกของพ่อแม่เฟิ่งชิงเฉินแล้ว ก็มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่อย่างเดียวดาย ลมหนาวพัดผ่านหน้านางไป แต่นางกลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น

เฟิ่งชิงเฉินไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ที่เดิมมานานแค่ไหนแล้ว รู้แต่เพียงว่าร่างกายของนางเย็นเฉียบไปหมดแล้ว ขาทั้งสองหนักอึ้งจนเหมือนไม่ใช่แข้งขาของตัวเอง น้ำตาบนใบหน้าเริ่มเหือดแห้ง เฟิ่งชิงเฉินค่อยๆก้าวเท้าเดินไปทางโลงหยก

ตี๋ตงหมิงพูดถูก การที่หากระดูกของพ่อแม่นางเจอนับว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่มันควรจะเป็นนางที่ไปหากระดูกมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่ให้คนระยำอย่างเย่เย่นำกลับมาเช่นนี้

การที่เย่เย่นำกระดูกของพ่อแม่นางแห่มาตามท้องถนนอย่างโจ่งแจ้ง มันก็คือการตบหน้านางดีๆนี่เอง ทำให้นางต้องอับอาย

นางกลายเป็นลูกอกตัญญูไปเสียแล้ว!

มีคนเคยบอกว่ากระดูกพ่อแม่นางคงหาไม่เจอแล้ว แล้วนางก็เชื่อเช่นนั้นเสมอมา นางอยากสร้างป้ายรำลึกให้ท่านพ่อท่านแม่ เอาไว้ระลึกถึงพวกท่านในขณะที่ร่างของพวกท่านไม่ได้อยู่ตรงนี้ และนางก็ไม่ได้ลงมือเสาะหาโครงกระดูกแต่อย่างใด นางเทียบเย่เย่ไม่ได้เลย เพื่อทำร้ายนาง เขายอมดั้นด้นไปเสาะหากระดูกพ่อแม่นางมาจนได้ แล้วนางล่ะ?

นางไม่ได้ลงมือทำอะไรเลย

"ฮือๆๆๆ......" เฟิ่งชิงเฉินคุกเข่าลงกับพื้น แล้วนั่งกอดโลงหยกร่ำไห้ ตอนนี้ไม่มีใครอื่นแล้ว นางจึงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดเสียง

ความอัดอั้นในใจจะได้ระบายออกมาให้หมดสิ้น นำความทุกข์ใจปล่อยออกมาพร้อมน้ำตาให้หมด เมื่อร้องไห้เสร็จแล้ว นางจะได้ลุกขึ้นมาเปิดศึก!

สวรรค์รู้ดีว่านางอยากฆ่าเย่เย่มากแค่ไหน หากนางได้คลุ้มคลั่งมากกว่านี้ วันนี้นางก็คงไม่ตบหน้าเย่เย่หรอก เพราะนางจะเลือกฝังลูกกระสุนปืนไว้ในอกของเย่เย่แทน

เฟิ่งชิงเฉินมองร่างผู้ที่อยู่ในโลงหยกแล้วน้ำตาของนางก็ยิ่งไหลพรั่งพรูมากกว่าเดิม นางรู้ว่าพ่อของนางเสียชีวิตในสนามรบ แต่ไม่นึกเลยว่าเขาจะสิ้นใจอย่างอนาถเช่นนี้

ร่างของพ่อนางถูกเก็บไว้ในโลงหยกเป็นอย่างดี ชิ้นส่วนร่างกายดูสะอาดสะอ้าน เมื่อมองดูแล้วก็ชวนให้นึกถึงความหล่อเหลาและความเกรียงไกรของท่านพ่อในอดีต แม้ว่าชุดเกราะบนร่างกายจะมีคราบเลือดและสนิมเกาะอยู่บ้าง แต่ภาพรวมยังถือว่าดูดี

พ่อของนางเหมือนคนที่นอนหลับธรรมดา คนอื่นๆไม่มีใครรู้ว่าภายใต้ชุดเกราะมีสภาพเช่นไร แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป นางเข้าใจเรื่องกายวิภาคศาสตร์และสรีรวิทยาเป็นอย่างดี

ภายใต้ชุดเกราะคือร่างกายที่บอบช้ำมาก ศพของแม่นางเหลือแค่เพียงกระดูกไม่กี่ชิ้น แต่ศพของพ่อนาง เป็นศพที่ชิ้นส่วนต่างๆถูกร้อยเข้าด้วยกัน

คนที่ร้อยซากศพทำงานได้ละเอียดลออมาก หากไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินรู้จักร่างกายของมนุษย์เป็นอย่างดี ก็คงดูไม่ออกว่าพ่อของนางตายอย่างทรมาน

ต่อให้ฝีมือละเอียดลออเพียงใด ก็ไม่อาจทำให้สภาพศพคงเดิมเหมือนตอนแรก และไม่อาจเปลี่ยนแปลงร่องรอยการถูกทำร้ายที่พ่อของนางต้องเผชิญก่อนสิ้นใจ

ฮือๆๆ......เฟิ่งชิงเฉินจ้องมองร่างที่อยู่ในโลงหยก พ่อของนางมีตำแหน่งสูงมาก ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดินเกิดด้วยใจที่แข็งแกร่งดังแผ่นเหล็ก แต่ทำไมมีจุดจบเช่นนี้ ถึงกับต้องให้คนนอกมาเป็นคนเก็บร่างเขาเอาไว้

นางมองออกกระทั่งว่า คนที่เก็บรักษาร่างของพ่อนางไปควานหาศพของพ่อนางจากกองศพพะเนินเทินทึกได้อย่างไร นี่ควรเป็นสิ่งที่ลูกต้องกระทำ แต่ท้ายที่สุดแล้ว......

นางเกลียด เกลียดเจ้าของร่างกายนางคนก่อนหน้านี้ เกลียดความอ่อนแอไม่เอาไหน และการหนีปัญหาของนาง สมองของนางมีแต่เรื่องความรัก รักผู้ชายที่ชื่อตงหลิงจื่อลั่ว

แต่ในขณะเดียวกัน นางรู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งกว่า เกลียดที่ตัวเองไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่ากระดูกพ่อแม่นางยังคงอยู่ และไม่เคยออกไปเสาะหาร่างของพวกท่านเลย

ภายใต้ผืนดินมีศพฝังอยู่ไม่รู้ตั้งเท่าไร!

ร่างกายของนางเย็นเฉียบไปทั้งตัว ริมฝีปากม่วงคล้ำ ทว่าดวงตากลับลุกวาวเสียจนน่ากลัว

ทงจือและทงเหยารู้ดี ว่าคุณหนูของพวกนางกลับมาแล้ว

"คุณหนู!" สาวใช้ทั้งหกรีบเข้ามาหานางพร้อมผ้าคลุมไหล่ ผ้าขนหนูร้อน น้ำร้อน แต่ละคนถือของมาคนละไม้คนละมือ

เมื่อได้สัมผัสผิวกายที่เย็นเหมือนน้ำแข็งของเฟิ่งชิงเฉินแล้ว สาวใช้ทั้งหกก็เกือบจะร้องไห้ พวกนางสงสารเฟิ่งชิงเฉินเหลือเกิน ร่างกายของผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่กลับต้องมาแบกรับภาระอันหนักหน่วงเอาไว้เพียงคนเดียว

หากเป็นครอบครัวอื่น อย่างนางยังถือว่าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง เด็กที่พ่อแม่เลี้ยงดูฟูมฟักเป็นอย่างดี

เฟิ่งชิงเฉินยืนนิ่ง ปล่อยให้สาวใช้คลุมผ้าให้นางจนหนาเป็นบ๊ะจ่าง ตอนนี้นางจะล้มป่วยไม่ได้ นางจะต้องไปสืบหาความจริงให้ได้ว่าในปีนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

คราวนี้นางจะไม่ฟังเสียงของคนอื่นอีกแล้ว นางจะไม่เชื่อใครอีก......

"ท่านอาจารย์" ซุนซือสิงเรียกนาง แสงเทียนส่องภาพซุนซือสิง ทำให้เขาดูผอมกว่าที่เคย

"ซือสิงมาแล้วหรือ" เฟิ่งชิงเฉินหนาวจนฟันกระทบกัน นางพยายามส่งยิ้ม เพื่อให้ซุนซือสิงไม่ต้องเป็นห่วงนาง

แม้นางจะเสียใจอย่างหนักหน่วง แต่นางก็ไม่เคยลืมเรื่องที่ซุนเจิ้งเต้าและฮูหยินหายตัวไป ซือสิงเห็นภาพเหตุการณ์ในตอนนี้แล้วก็คงจะคิดมาก แต่ทว่า......

ใบหน้าของนางได้แข็งไปแล้ว ไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลย

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ