สรุปตอน บทที่ 687 โจ๊กหนึ่งชามแลกชีวิตข้า – จากเรื่อง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย
ตอน บทที่ 687 โจ๊กหนึ่งชามแลกชีวิตข้า ของนิยายInternetเรื่องดัง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดยนักเขียน อาช้าย เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
“ท่านอาจารย์......”
ซุนซือสิงดวงตาแดงเรื่อ แววตาแห่งความยุติธรรมและเมตตาส่องประกาย ดูเหมือนเฟิ่งชิงเฉินสามารถเห็นแสงส่องออกมาจากร่างกายของเขา แสงนั้นห่อหุ้มซุนซือสิงเอาไว้เป็นประกายจางๆ
เป็นจริงดังนั้น เขาเกิดมาเพื่อเป็นหมอและมีจิตใจอันโอบอ้อมอารีดังที่คนอื่นไม่มี ซุนซือสิงดูบริสุทธิ์กว่านางมากเหลือเกิน แต่คนที่บริสุทธิ์ขาวผ่องเช่นนี้จะใช้ชีวิตต่อไปในโลกกว้างได้อย่างไร
ช่างปวดหัวยิ่งนัก!
เดิมทีนางก็เคยเป็นคนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา น่าเสียดายเหลือเกินที่สภาพความเป็นจริงของชีวิตนี้ทำให้นางต้องกลายเป็นดั่งแก้วที่ถูกทุบจนแตกร้าว
เห้อ......เฟิ่งชิงเฉินถอนหายใจออกมา นางตบลงไปที่บ่าของซุนซือสิงเบาๆ “อย่าได้รู้สึกเสียใจไปเลย พวกเขาโชคดียิ่งนักที่ได้พบเข้ากับผู้ใจบุญมาบริจาคอาหาร ลองนึกถึงคนที่อดอยากจนแทบตายเหล่านั้นดูสิ เจ้าจะพบว่า...... ในโลกนี้ไม่มีคำว่าน่าสงสารที่สุด เมื่อเปรียบเทียบได้เพียงว่าใครน่าสงสารกว่ากัน ดังนั้นเจ้าจงเก็บกลั้นน้ำตาเอาไว้เถิด เพราะสถานการณ์เช่นนี้ต่อให้หลั่งน้ำตาไปก็ไร้ผล”
ก่อนหน้านี้ไม่มีผู้ใดเข้ามาปกป้องความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนาง ดังนั้นบัดนี้นางจึงต้องการจะเข้าปกป้องซุนซือสิงอย่างเต็มที่ และให้ผู้คนชื่นชอบในความบริสุทธิ์ของเขาเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่ง......ถึงวันที่นางไม่อาจปกป้องซุนซือสิงได้ และหากว่ากว่าจะถึงวันนั้น นางจะต้องให้ซุนซือสิงมีความเติบโตแข็งแกร่งขึ้น เพราะไม่ฉะนั้นก็จะต้องถูกทำลายลง
ซุนซือสิงไม่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังคิดเรื่องใดอยู่ เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินกล่าวดังนั้นก็รีบพยักหน้า ดวงตาดำขลับนั้นใสประกายดุจดั่งลูกแก้ว ราวกับสามารถสะท้อนความ อยุติธรรมทั้งหลายในโลกนี้ออกมาได้ ชั่ววินาทีนั้น เฟิ่งชิงเฉินเห็นตัวของนางเองในดวงตาของเขา และพบใครคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยจิตใจโหดเหี้ยม
ซุนซือสิงพลิกมือกลับแล้วกุมมือของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปอย่างใจร้อน “ท่านอาจารย์ พวกเราไปที่ห้องตรวจเถิด ที่นั่นคงจะมีคนไข้รออยู่มากมายทีเดียว อากาศอันหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเขา...... คาดว่าคงจะทนได้ไม่นาน เรารีบไปกันเถิด จะได้ช่วยคนได้มากขึ้นกว่าเดิมสักสองสามคน”
ซุนซือสิงท่าทางดูสง่างามและสงบนิ่ง ราวกับไม่ได้รับผลกระทบด้านใดๆ
“อืม” เฟิ่งชิงเฉินรีบดึงสติกลับคืนมา แล้วเดินตามซุนซือสิงเข้าไปด้านใน
ครั้งก่อน การบริจาคอาหารให้แก่ประชาชนทำให้เสด็จอาเก้าถูกผู้คนชื่นชมยกย่อง ในครั้งนี้เป็นการบริการรักษาโรคเพื่อประชาชน นางต้องการจะผลักดันซุนซือสิงด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้...... ต่อให้ไม่มีนางในอนาคตซุนซือสิงก็จะมีคนคอยคุ้มกันปกป้อง
เฟิ่งชิงเฉินวางแผนไว้เช่นนั้น ส่วนเรื่องความคิดเห็นของซุนซือสิงน่ะหรือ หากเจ้าหมอนี่รู้ว่านางเปิดโรงพยาบาลเพื่อประชาชนโดยมีจุดประสงค์อื่นล่ะก็ คงจะรู้สึกคัดค้านและบอกว่าอย่าจัดตั้งขึ้นเสียดีกว่า
น่าเสียดาย ความคิดนั้นมักจะงดงามเสมอ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้าย เฟิ่งชิงเฉินและคนอื่นๆ ยังไม่ทันเดินไปได้กี่ก้าว ก็ได้ถูกน้ำเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นขัดจังหวะ
พวกเขาพบว่าบริเวณแจกอาหารนั้นเกิดเรื่องขึ้น
เมื่อชายคนหนึ่งร่างกายสูงใหญ่กำยำไม่รู้ว่าพุ่งมาจากที่ใด เข้าแทรกตัวเข้ามาทำให้ ผู้คนที่เข้าแถวรอรับโจ๊กต้องวุ่นวาย ผู้ประสบภัยทั้งหลายพากันตกอกตกใจ ดูเหมือนสถานการณ์กำลังจะย่ำแย่ขึ้น
คนจากจวนซูที่ถูกส่งมาให้แจกจ่ายอาหารและโจ๊กมีปฏิกิริยาอันว่องไว รีบส่งคนออกมาจากการสยบสถานการณ์ให้สงบลง และให้ทุกคนเข้าแถวรอรับโจ๊กต่อไป ทั้งยังให้การรับประกันว่าอาหารที่พวกเขาเตรียมมานั้นเพียงพอต่อทุกคน แน่นอนว่าทุกคนจะต้องได้โจ๊กคนละหนึ่งชามโดยไม่ต้องกังวลใดๆ
หลังจากทำการปลอบใจเกลี้ยกล่อมชาวบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่จำแนกแจกจ่ายอาหารก็ตั้งใจจะสอบถามถึงจุดประสงค์ที่ชายคนเมื่อครู่กระทำ แต่กลับได้ยินเสียงดัง “พลั่ก” คนผู้นั้น คุกเข่าลงตรงหน้าที่แจกอาหาร หลังของเขาแบกชายชราวัยคนหนึ่งไว้
“โปรดให้อาหารแก่ข้าสักชามเถิด แล้วชีวิตของข้าจะเป็นของท่าน” ชายหนุ่มและชายชราทั้งสองคนสวมใส่เพียงเสื้อผ้าบางๆ เผยผิวหนังออกมาด้านนอก ซึ่งมันเย็นเสียจนแดงเรื่อ พวกเขาทั้งสองดูน่าสมเพชเวทนากว่าทุกคนที่ต่อแถวรออยู่
ผู้แจกอาหารมองไปทางอีกฝ่ายหนึ่งและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา จากนั้นทำการแจกจ่ายอาหารให้แก่คนอื่นต่อไป “พวกเจ้าเดินไปข้างหน้า อย่าได้มาขัดขวางคนอื่นๆ ที่รอรับอาหาร”
“ได้โปรดขอร้องเถิด ให้อาหารขาสักชาม เพียงแค่พวกท่านให้อาหารข้าสักชาม ชีวิตของข้าก็จะมอบให้พวกท่าน ได้โปรดขอร้องเถิด” เมื่อชายผู้คุกเข่าบนพื้นเห็นดังนั้นก็ได้ก้มหัวลงคารวะกระแทกพื้นดังปังๆๆ......เสียงนั้นดุจดั่งเสียง ฟ้าผ่าอึมครึม ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นรู้สึกเจ็บปวดเข้าไปในหัวใจ
ชายหนุ่มจะไม่คุกเข่าให้ผู้ใดง่ายๆ ประโยคนี้มีไว้สำหรับบรรดาผู้สูงส่ง แต่กับคนธรรมดาเช่นนี้แล้วเพียงแค่โจ๊กหนึ่งชามก็คุ้มค่าที่เขาจะคุกเข่าร้องขอโดยไม่ต้องสงสัย
ศักดิ์ศรีไม่มีค่าเท่ากับชีวิต อีกอย่าง หากจะเอาชีวิตเข้าไปแลกกับศักดิ์ศรีอันน่าขันนั้นก็พอจะเข้าใจได้ แต่หากจะต้องเอาชีวิตของคนในครอบครัวไปแลกกับศักดิ์ศรีอันไร้ค่านั้น ช่างไม่คุ้มค่าเลย......
“ได้โปรดขอร้องเถิด ให้โจ๊กแก่ข้าสักชาม ช่วยเหลือพ่อของข้าด้วย ขอร้องพวกท่านโปรดช่วยเราด้วยเถิด” เมื่อชายหนุ่มพบว่าไม่มีผู้ใดให้โจ๊กแก่เขา ก็ได้ใช้ศีรษะโขกลงไปบนพื้นอย่างไม่หยุดหย่อนจนมีเลือดไหลซึมออกมา แต่ผู้ที่แจกจ่ายอาหารกลับไม่มีท่าทางใดๆ
“ท่านอาจารย์” ซุนซือสิงดึงชายเสื้อของเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ ต้องการจะให้เฟิ่งชิงเฉินออกหน้า แต่เฟิ่งชิงเฉินกลับส่ายศีรษะไม่เห็นด้วย
นางไม่รู้หรอกว่าฉากที่เห็นตรงหน้านี้เป็นเรื่องจริงหรือเป็นสิ่งที่ซูเหวินชิงตั้งใจให้กระทำ เพราะหากจะให้พูดตามความจริงแล้วนั้นคงไม่น่าฟังเท่าไรนัก ต่อให้รู้ซาบซึ้งเพียงไรก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยความตั้งใจ
“นายท่าน ได้โปรดให้โจ๊กแก้เขาสักชามเถิด......”
“นั่นสินั่นสิ น่าสงสารยิ่งนัก เขาแบกชายชราไว้บนหลังเช่นนั้นคงจะใช้แรงมากน่าดู”
“หากไม่กินอาหารเข้าไปเสียบ้าง ชายหนุ่มคนนั้นอาจจะทนไหว แต่ชายชราจะทนอยู่ได้อย่างไร”
เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกว่าประชาชนที่นี่ช่างน่ารักเหลือเกินและยังใจดีมีเมตตา แม้ว่าพวกเขาจะถูกคนหลอกลวงบังตา แต่แท้จริงแล้วพวกเขาก็เป็นคนที่มีความเมตตายิ่งนัก เป็นคนที่มีจิตใจดี เมื่อเห็นคนอื่นกำลังตกที่นั่งลำบากว่าตนเองก็อดไม่ได้ที่จะเห็นอกเห็นใจ เพียงแต่ว่า......
ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกนี้จะมีไม่ได้
ทุกคนล้วนทำตามกฎที่ตั้งเอาไว้ มีเพียงชายหนุ่มผู้นี้ที่รู้สึกรีบร้อนกว่าคนอื่นและแทรกตัวเข้ามาด้านในทำลายแถวที่คนอื่นตั้งไว้รอ หากมีสักคนสองคนยังไม่เท่าไหร่ ทว่าหากทุกคนเป็นเช่นนี้ก็คงจะเอาแต่บอกว่าตนน่าสงสารแล้วทำลายกฎเกณฑ์ทั้งหมด แล้วการเข้าแถวรับโจ๊กนี้จะมีไว้เพื่ออะไรอีกเล่า
ทุกคนที่ยืนรอรับโจ๊กกับหมั่นโถวมีคนไหนบ้างที่ไม่น่าสงสาร มีคนไหนบางที่ไม่ได้หิวโหย มีคนไหนบ้างไม่น่าเวทนา
“ฮือๆๆ......นายท่าน บุตรชายของข้าเมื่อปีก่อนหกล้มขาหัก จะรักษาเขาได้หรือไม่?”
“นายท่าน สามีข้านอนป่วยอยู่บนเตียงมาเป็นเวลานาน รักษาได้หรือไม่?”
“นายท่าน บุตรสาวข้าถูกไฟลวกใบหน้า รักษานางให้หายได้หรือไม่?”
ไม่ว่าคนที่รับอาหารไปแล้วหรือยังไม่ได้รับอาหารล้วนพากันเอ่ยออกมา อากาศที่หนาวเหน็บเช่นนี้ และสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าบอกว่าในบ้านของตนไม่มีคนป่วย
อาการเจ็บป่วยนั้นหากรักษา อาจทำให้เงินทั้งหมดที่เก็บเอาไว้ทั้งชีวิตต้องหมดไป หรืออาจต้องชายบุตรชายหญิง บัดนี้มีโอกาสอันดี แน่นอนว่าทุกคนต้องรีบคว้าเอาไว้
“ทุกคนโปรดอยู่ในความสงบ หากมีคนไข้จงนำพวกเขามาที่โรงพยาบาลเพื่อประชาชน นายท่านของเราได้เชิญหมอจากร้านยาตระกูลหยุนมาด้วย และยังมีศิษย์จากสำนักหมอหลวง หากมีพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป”
ประโยคที่ว่า “พวกเจ้าอย่าได้กลัวไป” ทำให้ทุกคนรู้สึกอุ่นใจ “ผู้ช่วยชีวิตของเรา ช่างมีจิตใจสูงส่งยิ่งนัก”
“รอดแล้ว พวกเรารอดแล้ว”
“พวกเรารอดแล้ว”
“ฝ่าบาททรงพระเจริญ”
ตุ้บ......ผู้คนทั้งหลายพากันคุกเข่าลง แล้วหันหน้าไปทางพระราชวังก่อนจะทำความเคารพ เนื่องจากคนที่นี่กล่าวว่านายท่านของพวกเขาอยู่ทางนั้น
ฝ่าบาท? องค์จักรพรรดิ?
มิใช่สิ......หากเป็นองค์จักรพรรดิ เหตุใดจึงต้องปิดบังชื่อเช่นนี้ หึๆ ชาวบ้านเหล่านี้คิดว่าผู้ที่มาช่วยพวกเขาให้รอดพ้นคือจักรพรรดิหรือ?
เสด็จอาเก้า เจ้าช่างไม่ลืมจัดการองค์จักรพรรดิเหลือเกิน แม้แต่ในเวลาเช่นนี้
บรรยากาศในแถวอบอุ่นขึ้นมาทันใด เฟิ่งชิงเฉินเองที่อยู่ ณ ที่นั้นด้วยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นเช่นกัน นางมองไปด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความสุข เฟิ่งชิงเฉินพบว่าตัวนางมีหยดน้ำตาออกมาจากหางตา
เพียงแค่ช่วยเหลือคน ต่อให้มีจุดประสงค์อื่นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยการกระทำของพวกเขานี้ก็สามารถช่วยผู้คนได้......
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ
ไม่ต่อให้จบเหรอคะ นานแล้ว แวะมาบอกกล่าวกันบ้าง...
ขอบคุณน่ะค่ะที่ต้องอดหลับอดนอนอัพเดต สู้ๆๆๆๆน่ะค่ะเป็นกำลังใจให้ค่ะ ผู้อ่านก็ไม่ได้หลับได้นอนเหมือนกัน ติดงอมเลย...
ง่ายๆๆยึดอำนาจ...
มาต่อได้ไหมมมมมมมม พลีสสสสสสสสสสสสสสสสส...
Update ให้หน่อยค่ะ จอดอยู่ที่ 1430 นานแล้ว ขออีกสัก 29 ตอนนะคะ Pleaseeeeee Admin ที่น่ารัก...
ไม่อัพเดตแล้วหรอค่ะ...
สามารถซื้ออ่านผ่านช่องทางไหนได้บ้างค่ะ...
ไทม์ไลน์บอก อัพถึง บท1459 แต่ยังดูได้แค่ บท1430...
Update ให้หน่อยคร่า รออ่านอยู่ คร่า...
ไม่ Update นานแล้ว ไปเที่ยวเพลินเลย สงสารคนรอเถอะ เข้ามาทุกวัน อ่านช้ำไป 2 รอบแล้ว...