นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 738

สรุปบท บทที่ 738-1 สถานะ ใครคือคนทรยศ: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปตอน บทที่ 738-1 สถานะ ใครคือคนทรยศ – จากเรื่อง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

ตอน บทที่ 738-1 สถานะ ใครคือคนทรยศ ของนิยายInternetเรื่องดัง นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดยนักเขียน อาช้าย เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา!

ไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะความกลัวของหวังจิ่นหลิงและความไม่สบายใจของเสด็จอาเก้า ทำให้เฟิ่งชิงเฉินพูดไม่ออก อีกอย่างเรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พูดหรือไม่พูดมันก็ไม่ต่างกัน

พวกเขาต่างเข้าใจ เรื่องบางเรื่องเมื่อพูดออกมาแล้วจะไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้จะพูดหรือไม่พูดมันก็ไม่สำคัญ หากไม่มีอะไรน่าสงสัย เฟิ่งชิงเฉินจะรับรู้ถึงการทดสอบของพวกเขาได้อย่างไร

เฟิ่งชิงเฉินยืนถามพวกเขาอยู่ตรงนี้ นั่นเท่ากับว่านางได้ยอมรับในข้อสงสัยของพวกเขา นางไม่ใช่เฟิ่งชิงเฉินคนเดิม เฟิ่งชิงเฉินคนเดิมได้ตายไปแล้ว!

เงียบ......เงียบสงัด แม้แต่สายลับที่ซ่อนตัวอยู่ก็ทนไม่ไหว พวกเขาแอบเช็ดเหงื่อ คืนวันอันหนาวเหน็บ สายลมพัดทำให้เย็นถึงกระดูก ขนาดพวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวยังมีเหงื่อออกมากถึงขนาดนี้ ฉากที่พวกเขาเห็นอยู่ตรงหน้ามันช่างกดดันพวกเขาเหลือเกิน

ท้องฟ้าสีเทา สีอันจืดชืด ทั้งสามคนยืนอยู่นอกบ้านที่เต็มไปด้วยท้องนา นิ่งราวกับภาพวาด ภาพนี้งดงามมาก แต่บรรยากาศหนักอึ้งเกินกว่าที่ใครจะทนได้

สุดท้ายภาพวาดก็เคลื่อนไหว......แต่มันไม่เหมือนกับที่ทุกคนกำลังคิด กลับไปเหมือนตอนแรก เฟิ่งชิงเฉินนำมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนใบหน้า ผลักหวังจิ่นหลิงออกไป เดินกลับไปยังห้องของตนเองโดยไม่หันกลับมามอง ตลอดการเคลื่อนไหวของนาง นางไม่ได้ชายตามองเสด็จอาเก้าเลยแม้แต่น้อย

นี่คือการจบบทสนทนาในครั้งนี้ ด้วยความเจ็บปวดของเฟิ่งชิงเฉิน เสด็จอาเก้าผู้เฉยเมยและหวังจิ่นหลิงต่างตำหนิตนเอง หวังจิ่นหลิงจ้องมองเงาหลังของเฟิ่งชิงเฉินที่ลับตาออกไป แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่แม้แต่หันกลับมา ไม่พูดอะไรกับเสด็จอาเก้าสักคำ หากมีวันหนึ่งเฟิ่งชิงเฉินตัดสินใจจากไป นางจะต้องจากไปอย่างไร้ความรู้สึก และไม่มีทางหันกลับมา......

เสด็จอาเก้าเองก็เช่นกัน มองเฟิ่งชิงเฉินที่เดินจากไปไกล ในวินาทีนั้นเขารู้สึกว่าเฟิ่งชิงเฉินกำลังจะเดินออกไปจากชีวิตของเขา

ยื่นมือออกไป แต่มันไกลเกินไป......ระยะห่างระหว่างพวกเขามันช่างแสนไกล ไกลขนาดที่แม้เขาจะยื่นมือออกมาก็สัมผัสไม่ได้แม้แต่เส้นผมของเฟิ่งชิงเฉิน

เสด็จอาเก้าคิดจะตามไป แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เปิดโอกาสให้เขา ปัง......เสียงปิดประตูดังขึ้น ชายทั้งสองถูกขังไว้ด้านนอก

วินาทีที่ประตูปิดลง หลังของเฟิ่งชิงเฉินพิงกำแพง ร่างของนางค่อย ๆ เลื่อนลงไปตามประตู มือทั้งสองข้างกอดเข่า แอบร้องไห้ออกมา

ปัง......ด้วยเสียงปิดประตู หัวใจของเสด็จอาเก้ารู้สึกเจ็บปวด ดึงมือที่ยื่นออกไปกลับมา กุมไว้ตรงหัวใจของตนเอง ใบหน้าอันหล่อเหลาของเสด็จอาเก้ามีน้ำตาไหลออกมา

ไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ไม่มีการนองเลือด แต่หัวใจกลับเจ็บปวดถึงขนาดนี้

น่าเสียดาย เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่มีเวลามากพอใจการจัดการกับอารมณ์ของตนเอง หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง ชุยห้าวถิงพร้อมกับองครักษ์ตระกูลชุย ปรากฏตัวขึ้นในลานขนาดเล็กตามที่ตกลงกันไว้

เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงจัดการกับอารมณ์ของพวกเขาอย่างรวดเร็ว อย่างน้อยชุยห้าวถิงไม่สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของพวกเขาสองคน หลังจากกล่าวคำทักทาย ชุยห้าวถิงเข้าปัญหาหลัก บอกว่าต้องการพาตัวของหลานอีหลินกลับไป

ใครก็ไม่ใช่คนโง่ ชุยห้าวถิงไม่ได้ปิดบังตัวตนของหลานอีหลิน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย สามารถหาข้อมูลได้มากแค่ไหนมันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง

“คนที่ยอมจ่ายสองแสนแผ่นทองเพื่อเอาชีวิตของเฟิ่งชิงเฉินเป็นใคร?” เสด็จอาเก้าไม่อ้อมค้อม ถามออกไปโดยตรง

อารมณ์ของเขาในวันนี้ ไม่เหมาะกับการใช้ไหวพริบต่อสู้กับชุยห้าวถิง

“ฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง” เห็นได้ชัดว่าชุยห้าวถิงเองก็เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยพื้นฐานแล้วตระกูลชุยพอจะเดาออกว่าเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงต้องการเอาตัวของหลานอีหลินมาแลกกับอะไร

สิ่งที่สองคนนี้ให้ความสนใจมากที่สุดก็คือเฟิ่งชิงเฉิน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเฟิ่งชิงเฉิน ทั้งสองคนจะไม่ให้ความสำคัญได้อย่างไร

เป็นนางอย่างที่คิด

อาจจะไม่ งั้นพวกเขาควรชดเชยความผิดครั้งนี้อย่างไร

คนหนึ่งแสดงใบหน้าอันยิ้มแย้ม แต่ไม่รู้ว่าจิตวิญญาณของเขาล่องลอยไปอยู่ไหน ส่วนอีกคนหนึ่งหลับตาลงและเพิกเฉย ชุยห้าวถิงเข้าใจว่าไม่สามารถใช้วิธีพูดคุยทั่วไปคุยกับสองคนนี้ได้ ไม่อย่างนั้นความโกรธคงระเบิดออกมาจากอกของเขา

การถูกเมินทำให้รู้สึกไม่ดี แต่ช่างมันเถอะ รีบพูดรีบไปจะดีกว่า อยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่ทำให้ตนเองต้องโกรธ ชุยห้าวถิงไม่อยากต่อรองอะไรกับเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงมากมาย จึงพูดในสิ่งที่ตระกูลชุยรู้ออกมา

“ฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง นางมีชื่อว่าลู่อีหราน นางเป็นน้องสาวฝาแฝดกับแม่ของเฟิ่งชิงเฉิน พวกเขามาจากทะเล เมื่อสี่สิบปีที่แล้วตระกูลลู่เป็นผู้นำโจรสลัดในทะเล ครอบครองพื้นที่ในทะเลชั่วขณะหนึ่ง ในยุครุ่งเรืองของพวกเขา แม้แต่เรือของทหารผ่านไป ยังต้องมอบประโยชน์ให้แก่ตระกูลลู่

น่าเสียดาย......ในกลุ่มโจรสลัดกลับมีคนทรยศปรากฏออกมา เขาร่วมมือกับกองทหารของซีหลิง ปล้นดินแดนของโจรสลัด ว่ากันว่าในวันนั้นท้องทะเลกลายเป็นสีแดง

สมบัติทั้งหมดของตระกูลลู่ถูกนำเข้าคลังของซีหลิง ซีหลิงเองก็ใช้เงินจำนวนนี้ในการสร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่ เงินก้อนนี้ของฮูหยินแห่งผู้นำเผ่าเสวียนเซียวกง น่าจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ตระกูลลู่ในตอนนั้นทิ้งเอาไว้

ตอนนั้นทุกประเทศน่าจะรับรู้ถึงเรื่องนี้ แต่ก็เห็นอยู่ว่ามันเป็นแค่เรื่องของโจรสลัด คนอื่นจึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ซีหลิงผลลัพธ์ที่ซีหลิงได้มานั้นดีมาก เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นในทะเล สามประเทศที่เหลือจึงไม่ได้คิดอะไร

ที่แท้ก็เป็นทายาทของโจรสลัด ไม่แปลกว่าทำไมเขาตรวจสอบไม่พบ ในตอนนี้ข้อดีของตระกูลชุยปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว ส่วนตระกูลชุยจะลงมืออยู่ในความมืดอีกนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรู้

เสด็จอาเก้าลืมตาขึ้น เงยหน้าขึ้นมองชุยห้าวถิงพร้อมกล่าวว่า “งั้นคนทรยศคือใคร?”

เขาคิด ด้วยนิสัยของเฟิ่งชิงเฉิน นางน่าจะตามหาตัวคนทรยศผู้นั้น ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ของเขากับเฟิ่งชิงเฉิน......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ