เฟิ่งชิงเฉินครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ แต่นางก็คิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรในการหาหลักฐานให้ตนเองพ้นผิด
แม้ว่าวิธีการของอีกฝ่ายจะค่อนข้างหยาบ อีกทั้งหลักฐานพยานก็ไม่ละเอียดอ่อน แต่ก็ทำให้นางไม่อาจจะกล่าววาจาใดออกมาได้ เนื่องจาก ผู้เสียหายคือองค์หญิง
เรื่องเกี่ยวกับราชวงศ์ล้วนไม่เป็นเรื่องเล็ก และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยขององค์หญิง ต่อให้ต้องฆ่าแพะรับบาปนับพันคนก็คงจะไม่ปล่อยวางผู้ใดไป
หลังจากคิดอยู่เนิ่นนานในที่สุดเฟิ่งชิงเฉินก็ทำได้เพียงกล่าวออกมาตามความจริงว่า "เสด็จอาเก้า ใต้เท้า องค์หญิงและชิงเฉินเปรียบเสมือนฟ้ากับดิน ชิงเฉินจะไม่รู้ได้อย่างไร กล้าหรือที่จะไปต่อสู้กับท้องฟ้าและลอบสังหารองค์หญิง ชิงเฉินกับองค์หญิงไม่มีความอาฆาตแค้นใดต่อกัน ชิงเฉินไม่มีเหตุผลใดที่จะฆ่าองค์หญิง"
"อีกอย่าง จวนเฟิ่งยากจนเพียงไรทุกคนล้วนรู้ดี จะเอาทองมากมายถึงหนึ่งพันตำลึงมาจากที่ใด"
"หากว่าการลอบสังหารครั้งนี้ชิงเฉินเป็นคนบงการ แล้วเหตุใดคันธนูนั้นท้ายที่สุดแล้วจึงยิงมาที่ข้า ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นล้วนเห็น ซุนซิ่วต้องการจะช่วยข้า จนกระทั่งปัจจุบันเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่รู้"
"ท้ายที่สุด สถานที่แห่งนั้นคือเรือนแยกของพระราชวัง ไม่ใช่ปากประตูจวนเฟิ่งเสียหน่อย หากชิงเฉินมีอำนาจพอที่จะจัดให้คนเข้าไปในเรือนแยกแห่งนั้นละก็ คงไม่ต้องดำเนินมาถึงวันนี้"
สายตาของนางมองไปทางองค์หญิงอันผิง ดูเหมือนต้องการจะเปิดโปง
ไม่ว่าเพราะเหตุใดที่เสด็จอาเก้าเข้ามาช่วยเหลือนางเอาไว้ในครั้งนี้ แต่เสด็จอาเก้าได้เดินทางมาแล้วจริงๆ นางไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้อีก เสด็จอาเก้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพานางออกไปจากที่นี่ได้
หากประสบความสำเร็จนางจะสามารถเดินทางออกจากองครักษ์เสื้อโลหิตแห่งนี้ได้
แต่หากพ่ายแพ้ นางก็จะต้องอยู่ในที่แห่งนี้ตลอดไป และกลายเป็นเสี่ยวจื้อคนต่อไปที่ต้องตกนรกทั้งเป็น
เมื่อได้ยินเฟิ่งชิงเฉินเอ่ยแก้ตัวเช่นนั้น ลู่เส้าหลินก็พยักหน้าพูดว่า "ที่แม่นางเฟิ่งกล่าวมาก็มีเหตุมีผล"
ขณะที่ลู่เส้าหลินกล่าวอยู่นั้นก็ได้เหลือบตาไปมองดูตงหลิงจิ่ว พบว่าดวงตาของตงหลิงจิ่วคู่นั้นยังคงเย็นเยือกไม่มีความรู้สึกใด ลู่เส้าหลินไม่แน่ใจว่าตงหลิงจิ่วคิดอย่างไรอยู่ หลังจากที่เช็ดเหงื่อจนสิ้นแล้ว จึงได้ตะโกนไปทางเฉียนจิ้นว่า "เจ้าใจกล้ายิ่งนักเฉียนจิ้น กล้าดีอย่างไรใส่ร้ายเฟิ่งซิ่ว เจ้ายังไม่รีบยอมรับสารภาพมาอีกว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นผู้บงการ"
"ใต้เท้าขอรับ ข้าน้อยถูกบงการโดยเฟิ่งซิ่วจริงๆ ข้าน้อยมีพยาน ในตอนนั้นเฟิ่งซิ่วได้ให้มีดเล็กๆ รูปร่างประหลาดแก่ข้าน้อยมาเล่มหนึ่ง มีดเล่มนั้นเป็นพยานได้ถึงตัวตนของเฟิ่งซิ่ว" เฉียนจิ้นใช้ศีรษะโขกพื้นแล้วกล่าวถึงอีกเรื่องหนึ่งออกมา
มีด?
แย่แล้ว คงจะเป็นมีดผ่าตัดที่นางทำหายในครั้งก่อน
มิน่าเล่าถึงได้กล่าวว่าทั้งพยานหลักฐานพร้อมครบ ครบเสียจริงด้วย
เฟิ่งชิงเฉินหน้าถอดสี แววตาของนางเผยถึงความเศร้าโศกออกมา
แต่ในดวงตาขององค์หญิงอันผิงกลับเต็มไปด้วยความชื่นใจ
มองดูแล้ว มีเล่มเล็กนั้นเป็นของเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ ตอนที่คนผู้นั้นนำมีดมาให้นาง เดิมทีนางยังสงสัยอยู่บ้าง คาดไม่ถึงว่า...…
เจ้าหน้าที่ยื่นมีดเล็กเล่มนั้นที่เฉียนจิ้นกล่าวออกมา
"เฟิ่งซิ่ว เจ้าดูสิว่าของสิ่งนี้เป็นของเจ้าหรือไม่" ลู่เส้าหลินกล่าวพลางขยิบตาให้นาง
เฟิ่งชิงเฉินฟังออกว่าจากน้ำเสียงของเขาว่าต้องการให้นางปฏิเสธ
ปฏิเสธหรือ ปฏิเสธได้อย่างไร มีดผ่าตัดเช่นนี้ทั้งเก้ารัฐอันยิ่งใหญ่ นอกจากนางแล้วไม่มีผู้ใดอีกที่มีมัน นางไม่อาจปฏิเสธได้เลย เพราะหากตรวจสอบขึ้นมาอย่างจริงจัง ท้ายที่สุดแล้วถ้าพบว่าเป็นของนางก็ยากที่จะหนีความผิด
ในขณะที่เฟิ่งชิงเฉินกำลังจะยอมรับนั้น ตงหลิงจิ่วก็ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า ใช่จงบอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่จงบอกว่าไม่ใช่ ผู้ใดที่โกหกข้ามักไม่มีจุดจบที่ดีนัก"
อย่าว่าแต่เดิมทีเฟิ่งชิงเฉินก็ไม่มีความตั้งใจจะปฏิเสธ บัดนี้ต่อให้นางมีความคิดนั้นก็คงจำเป็นจะต้องละทิ้งความคิดลง
เฟิ่งชิงเฉินพยักหน้ากล่าวว่า "ทูลเสด็จอาเก้าและใต้เท้า มีดเล่มนี้เป็นของเฟิ่งชิงเฉินจริงๆ แต่ไม่ใช่เพราะเฟิ่งชิงเฉินนำไปให้เฉียนจิ้น เหตุใดข้าจึงต้องนำมีดเช่นนี้ไปให้ผู้อื่นเล่า มีดเล็กเช่นนี้ไม่สามารถฆ่าใครได้ อีกอย่างหนึ่งหากว่าข้าต้องการจะฆ่าผู้ใด เหตุใดจึงบอกชื่อจริงออกไป อีกทั้งทิ้งหลักฐานมัดตัวเองเอาไว้ การทำเช่นนี้ไม่ได้เท่ากับว่าต้องการให้คนอื่นมาจับเอาหรือ"
"บางทีอาจเพราะเจ้ามันเจ้าเล่ห์ ต้องการที่จะทำให้คนอื่นสับสนและใช้โอกาสนี้สลัดความผิดให้พ้นตัว เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าเฉลียวฉลาดเสมอ" องค์หญิงอันผิงพบว่าตงหลิงจิ่วไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพื่อเข้าข้างเฟิ่งชิงเฉิน นางจึงพูดแทรกขึ้นมาประโยคหนึ่งต้องการดูปฏิกิริยาของตงหลิงจิ่ว
เมื่อกล่าวจบหน้าก็มองไปทางข้างหน้าแล้วคารวะตงหลิงจิ่วกล่าวว่า "เสด็จอาเพคะ อันผิงขออภัยที่ไร้มารยาท"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ