นางสนมแพทย์อัจฉริยะ นิยาย บท 929

สรุปบท บทที่ 929 แผน ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

สรุปเนื้อหา บทที่ 929 แผน ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน – นางสนมแพทย์อัจฉริยะ โดย อาช้าย

บท บทที่ 929 แผน ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อเฟิ่งชิงเฉิน ของ นางสนมแพทย์อัจฉริยะ ในหมวดนิยายInternet เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย อาช้าย อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

เสด็จอาเก้าเรียกหวังจิ่นหลิงมา แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพราะหึงหรือต้องการแสดงความรักที่มีต่อเฟิ่งชิงเฉินต่อหน้าหวังจิ่นหลิง ที่เสด็จอาเก้าเรียกเฟิ่งชิงเฉินมาพบก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย แต่ในเมื่อโอกาสมันเป็นใจเช่นนี้ เสด็จอาเก้าก็ไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป จึงใช้เวลานี้เป็นเวลานัดหมายของเขากับหวังจิ่นหลิง

ด้านนอกไม่ใช่สถานที่ซึ่งเหมาะแก่การพูดคุย บรรยากาศระหว่างเสด็จอาเก้ากับหวังจิ่นหลิงเองก็ดูแปลกไปเช่นกัน หลังจากเฟิ่งชิงเฉินกล่าวทักทายหวังจิ่นหลิง ก็เชิญทั้งสองเข้าไปในจวนพร้อมกัน

พ่อบ้านรู้ข่าวตั้งแต่แรก แต่คนฉลาดอย่างเขาคงไม่คิดที่จะสร้างปัญหาให้ตัวเอง เผชิญหน้ากับแรงกดดันอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้า และรอยยิ้มอันอ่อนโยนของหวังจิ่นหลิงที่ทำให้รู้สึกเสียวสันหลัง

พ่อบ้านได้เตรียมการทุกอย่างในจวนไว้เป็นอย่างดี ทันทีที่เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก้าวเข้ามา พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีที่สุด จากนั้นเฟิ่งชิงเฉินก็ถูกพ่อบ้านเรียกตัวออกไปโดยการหาเหตุผลบางอย่างมาอ้าง

ตกลงหรือไง ผู้ชายสองคนที่อยู่ด้านในก็ไม่ใช่คนดีอะไร หากเฟิ่งชิงเฉินต้องเผชิญหน้ากับสองคนนั้นนางก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนทุกข์ ไม่สู้หนีออกมาก่อน ให้พวกเขาสองคนปลดปล่อยอารมณ์ออกมาก่อนแล้วค่อยกลับเข้าไปใหม่

อย่างไรเสียเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก็ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ในสถานการณ์ที่ไม่มีคนนอกอยู่ด้วย ทั้งสองเผชิญหน้ากันมันก็พอจะสูสี

วิธีการของพ่อบ้านนั้นถูกใจเฟิ่งชิงเฉินเป็นอย่างมาก เฟิ่งชิงเฉินรีบหนีออกมาอย่างรวดเร็ว กลับไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็นำยาคุมกำเนิดออกมาจากกระเป๋าเครื่องมือแพทย์ นางรู้ว่าเสด็จอาเก้าอยากมีลูกสักคน นางเองก็อยากมีเช่นนั้น แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้

ไม่ว่าจะเป็นอายุหรือสถานการณ์ในตอนนี้ การที่นางจะมีลูกสักคนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย นางไม่มีพ่อแม่ เสด็จอาเก้าเองก็ไม่มีพ่อแม่ เช่นนั้นใครจะเป็นคนเลี้ยงดูลูกของพวกเขา?

คนรับใช้? เฟิ่งชิงเฉินไม่มีทางวางใจเป็นแน่ และเวลานี้นางเองก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะเลี้ยงเด็ก ดังนั้น......

“เสด็จอาเก้า คงทำได้เพียงให้ท่านรอต่อไป” เฟิ่งชิงเฉินนำยาคุมกำเนิดออกมา กลืนมันลงไปอย่างไม่ลังเล

“ชุนฮุ่ย เซี่ยหว่าน ช่วยข้าแต่งตัวหน่อย” เฟิ่งชิงเฉินเก็บยาเรียบร้อยจึงเรียกคนรับใช้เข้ามา

ในจวนอ๋องเก้า นอกจากนางต้องอยู่คนละห้องกับเสด็จอาเก้า เช่นนั้นนางก็คงไม่มีวันมีสาวใช้เข้าไปปรนนิบัติอย่างใกล้ชิด ดังนั้นนางจึงต้องตื่นมาแต่งตัวให้ตัวเองในช่วงเช้าซึ่งค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย

ชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านรู้ว่าเสด็จอาเก้ากำลังรอเฟิ่งชิงเฉินอยู่ด้านนอก พวกนางจึงไม่กล้าแต่ตัวให้มันซับซ้อน แค่เพียงเกล้าผมมวยคู่ ปักปิ่นปักผมรูปดอกเหมยซึ่งเฟิ่งชิงเฉินเลือกมาเป็นพิเศษ

พูดถึงปิ่นดอกเหมย เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย นางกลัวว่าสร้อยข้อเท้าของนางจะเปลี่ยนสี ทุกครั้งที่อาบน้ำนางจึงถอดมันออก แต่เมื่อวานนางลืมใส่มันไว้ จึงทำให้......ทำให้เสด็จอาเก้าผิดหวังอยู่นาน

แม้เมื่อวานเสด็จอาเก้าจะไม่ได้พูดอะไร แต่ดูจากแววตาของเสด็จอาเก้าที่จ้องมองมา เฟิ่งชิงเฉินก็เข้าใจได้ทันที เสด็จอาเก้าจะต้องกำลังหาสร้อยข้อเท้าอยู่เป็นแน่ ทั้งที่นางใส่มันทุกวัน แต่เมื่อวานนางกลับลืมใส่

ครั้งนี้เฟิ่งชิงเฉินตั้งใจปักปิ่นดอกเหมย เพื่อหวังว่าเสด็จอาเก้าจะลืมเรื่องสร้อยข้อเท้าเมื่อวาน

“คุณหนู คุณชายหยุนมาถึงตั้งแต่เช้า พักผ่อนรออยู่ในลาน คุณหนูจะไปพบคุณชายหยุนก่อนหรือไม่?” หลังจากชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านแต่งตัวให้เฟิ่งชิงเฉินเป็นอันเรียบร้อย แต่ไม่มีวี่แววว่าเฟิ่งชิงเฉินจะลุกขึ้นยืน พวกนางจึงถามออกไป

พวกนางเห็นรอยจูบบนร่างของเฟิ่งชิงเฉิน คิดว่าเฟิ่งชิงเฉินคงกำลังรู้สึกเขินอายอยู่

“มิต้อง เสด็จอาเก้ากับคุณชายใหญ่กำลังรอข้าอยู่ พวกเจ้าช่วยไปบอกคุณชายหยุนว่าข้าจะไปหาเขาในช่วงกลางคืน” ทันทีที่นางกลับเข้ามา พ่อบ้านก็ได้บอกเรื่องหยุนเซียวกับนางไว้แล้ว

หยุนเซียวไม่ได้มาเพียงลำพัง เขาพาหมอมาด้วยสองคน เด็กรับใช้หนึ่งคน ผู้ติดตามหนึ่งคน สาวใช้สี่คน องครักษ์อีกแปดคน เห็นได้ว่าเขาพาคนมามากมาย โชคดีที่จวนเฟิ่งมีพื้นที่กว้างเพียงพอ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีที่พักผ่อน

“เจ้าค่ะ แม่นาง” ชุนฮุ่ยและเซี่ยหว่านแนะนำออกมา แต่เฟิ่งชิงเฉินไม่เห็นด้วยกับคำแนะนำของพวกนาง พวกนางเองก็ไม่ได้ออกอาการหรือรู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด เห็นเฟิ่งชิงเฉินลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนรีบลุกขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็เดินตรงไปยังห้องโถง

พ่อบ้านพยักหน้าให้เฟิ่งชิงเฉินจากระยะไกล บ่งบอกว่าเวลานี้บรรยากาศเป็นปกติ เฟิ่งชิงเฉินสามารถเข้าไปด้านในได้แล้ว

เฮ้อ......นี่มันเรื่องอะไรกัน นางอยู่ในบ้านของตนเองแท้ ๆ เหตุใดจึงต้องไปสนใจความเห็นของผู้อื่น

“แฮ่ม แฮ่ม” เฟิ่งชิงเฉินยืนอยู่หน้าประตู กระแอมออกมาเบา ๆ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงเงยหน้าขึ้นและมองไปพร้อมกัน

ใบหน้าอันเยือกเย็นของเสด็จอาเก้าผ่อนคลายลงเมื่อเห็นปิ่นปักผมบนศีรษะของเฟิ่งชิงเฉิน หวังจิ่นหลิงมีนิสัยอ่อนโยนโดยกำเนิด แต่เมื่อเทียบกับคนทั่วไปแล้ว หากมีความใกล้ชิดมากกว่า รอยยิ้มของเขาก็จะจริงใจมากกว่าเช่นกัน

เห็นเฟิ่งชิงเฉินเดินเข้ามา หวังจิ่นหลิงเอ่ยปากออกมาว่า “ชิงเฉินเจ้ามาได้จังหวะพอดี พวกเรากำลังคุยกันเรื่องที่เจ้าจะรักษาให้หยุนเซียวในวันพรุ่งนี้”

เฟิ่งชิงเฉินขมวดคิ้ว เดินไปพร้อมกลับกล่าวว่า “พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำอะไร”

หวังจิ่นหลิงนั่งอยู่ฝังซ้าย เสด็จอาเก้านั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักฝั่งซ้าย เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของจวนเฟิ่ง เฟิ่งชิงเฉินก็ไม่ได้พูดอะไร และนั่งลงตรงด้านข้างอีกด้านหนึ่งของเสด็จอาเก้า

นางคือเจ้าของจวนเฟิ่ง เสด็จอาเก้าเสด็จอาเก้าคือชุนอ๋องแห่งตงหลิง ที่นั่งตำแหน่งนี้สำหรับพวกเขา ทั้งสองคนต่างสามารถนั่งได้

“เมื่อสักครู่พวกเราเจรจากันกันเรียบร้อยแล้ว แต่ท้ายที่สุดแล้วจะตัดสินอย่างไรมันก็ขึ้นอยู่กับชิงเฉิน” หวังจิ่นหลิงก้มหัวลงเล็กน้อย

ก้มหน้าลงไม่ใช่เพราะยอมแพ้ และไม่ใช่เพราะยินยอม ในบางครั้งก็ไม่อยากให้คนอื่นได้เห็นใบหน้าของตนเอง

“เรื่องที่พวกเจ้าทั้งสองตัดสินใจ จะต้องเป็นเรื่องที่ดีที่สุดเป็นแน่ พวกเจ้าวางแผนว่าจะทำเช่นไร?” ด้วยการตบตาของเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิง เฟิ่งชิงเฉินทำได้เพียงเห็นด้วย

หวังจิ่นหลิงรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินนั้นกล่าวออกมาจากใจจริง เขาจึงไม่อ้อมค้อม กล่าวออกมาโดยตรงว่า “ชิงเฉิน ห้องผ่าตัดของเจ้ามิได้กว้างใหญ่ ด้านในเองก็บรรจุคนได้มิมาก และแม้ว่าในห้องจะมีหน้าต่าง แต่ในเวลาที่เจ้าทำการรักษาก็จะเป็นต้องปิดหน้าต่างเอาไว้ จากการพูดคุยระหว่างข้ากับเสด็จอาเก้า การรักษาของเจ้าในวันพรุ่งนี้สามารถให้เหล่าหมอหลวงเข้ามาดูขั้นตอนการรักษาได้ เพียงแต่ต้องมีข้อจำกัด”

หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาต้องการรูปลักษณ์ของสินค้าหายาก อย่าทำให้การเยี่ยมชมขั้นตอนการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินเหมือนผักปลาที่หมอทุกคนสามารถเข้าไปดูได้

“มีเหตุผล พวกเจ้าคิดว่าสามารถให้พวกเขาเข้าไปได้กี่คน?” นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบันที่จะได้มีห้องไว้เฝ้าสังเกตโดยเฉพาะ ในตอนที่สร้างกระท่อมไม้หลังเล็กขึ้นมา มันก็เพื่อไว้สำหรับการผ่าตัด และไม่ได้เตรียมที่ไว้สำหรับการเฝ้าสังเกต

“ชิงเฉิน เจ้าคิดว่าจำนวนคนเท่าใดเข้าไปในกระท่อมไม้ของเจ้าแล้วเจ้าจะรู้สึกมิอึดอัดหรือรบกวนการรักษาของเจ้า” ในเรื่องที่ต้องเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นเช่นนี้ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่ใช่คนชอบตัดสินตามอำเภอใจ

เฟิ่งชิงเฉินลองคำนวณดูในใจ “มากสุดสิบคน”

“สิบคน? มิมากไปหน่อยหรือ” หวังจิ่นหลิงรู้ว่าความอดทนของเฟิ่งชิงเฉินมีขีดจำกัด เช่นนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็หันมาพูดกับเสด็จอาเก้าว่า “ห้าคน ข้าคิดว่ามากที่สุดมิเกินห้าคน”

แม้อยากจะให้คนยอมรับวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน แต่มันก็จำเป็นต้องทำเป็นกระบวนการ เขาเองก็เคยเห็นวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉิน วิธีการรักษาของนางอยู่เหนือจินตนาการ หากต้องการให้ผู้อื่นยอมรับ จำเป็นต้องค่อยเป็นค่อยไป หากปล่อยให้มาเจอกับวิธีการผ่าตัดอันเหี้ยมโหดเช่นนี้ หวังจิ่นหลิงเกรงว่าหมอหลวงเหล่านั้นคงต้องตกใจจนขวัญหาย

ผ่าตัดกะโหลก เปิดกะโหลกของผู้อื่นออก นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนสามารถยอมรับได้ หากมีคนจำนวนไม่มากได้เห็นมัน และบังเอิญเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ทุกอย่างก็สามารถควบคุมได้ง่าย

เสด็จอาเก้าพยักหน้า “ตกลง ในห้าคนนี้ ข้าจะส่งหมอของข้าเข้าร่วมหนึ่งคน หมอของตระกูลหวังหนึ่งคน ตระกูลหยุนหนึ่งคน และอีกสองคนที่เหลือก็ปล่อยให้สำนักหมอหลวงเป็นผู้จัดการ”

ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างก็จะอยู่ในการควบคุมของพวกเขา

“นั่นเป็นเรื่องของเจ้า มิเกี่ยวอะไรกับข้า” คุณชายคนโตของตระกูลหยุนเป็นสุภาพบุรุษ อ่อนโยนราวกับหยก ใครก็ตามที่คบหากับเขาจะรู้สึกอุ่นใจ แต่นี่การผ่าตัดกำลังใกล้เข้ามาถึงเต็มทนแล้ว หยุนเซียวประหม่าและกังวล เมื่อเผชิญกับเสียงอึกทึกของหมอหลวง จะให้เขาสงบเหมือนปกติได้อย่างไร

เหล่าหมอหลวงคิดว่าหยุนเซียวจะคุยง่าย สุดท้ายกลับเป็นพวกเขาเองที่วิ่งเข้าสู่ทางตัน ช่วยไม่ได้ พวกหมอหลวงทำได้เพียงกลับไปหาเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้ง แต่สุดท้ายพวกเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเฟิ่งชิงเฉิน กว่าจะรู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินอยู่ในกระท่อมไม้นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หมอหลวงเหล่านั้นก็ไม่สามารถเข้าไปได้

“คุณหนูกำลังเตรียมการเกี่ยวกับการผ่าตัดของคุณชายหยุนในวันพรุ่งนี้ กำชับไว้ว่าอย่างให้ใครเข้าไปรบกวนเป็นอันขาด” คำว่าอย่างใครเข้าไปรบกวนนี้ รวมถึงเสด็จอาเก้าด้วย

แม้แต่เสด็จอาเก้ายังไม่สามารถเข้าไปได้ เช่นนั้นหมอหลวงพวกนี้จะมีสิทธิ์เข้าไปได้อย่างไร

“หลังจากนี้ควรทำเช่นไร?” เหล่าหมอหลวงที่มาขอเพิ่มจำนวนคนเฝ้าสังเกตการรักษามองหน้ากัน พวกเขาไม่กล้ากลับไปยังสำนักหมอหลวง

“จะไปทำอะไรได้ เสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย พวกเราทำได้เพียงยอมรับมัน” หมอหลวงคนหนึ่งหยักไหล่และพูดอย่างไร้เรี่ยวแรง

หมอหลวงอีกคนหนึ่งยื่นมือออกมาสองนิ้ว “สองคน” ใบหน้าเศร้าใจ “มีแค่สองที่เท่านั้น เมื่อกลางวันพวกเราทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ หากพวกเรายังหาจำนวนที่เพิ่มขึ้นมาได้ เช่นนั้นพวกเราอาจต้องทะเลาะกันใหม่อีกครั้ง”

“เจ้าคิดว่าเสด็จอาเก้ากับตระกูลหวังว่างเกินไปหรือไม่ เหตุใดเรื่องพวกนี้เขายังเข้ามายุ่ง” เหล่าหมอหลวงกัดฟันด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่านี่คือจวนเฟิ่ง พวกเขาก็ไม่กล้าเสียงดัง ทำได้เพียงบ่นพึมพำออกมาเท่านั้น

หากเสด็จอาเก้าและหวังจิ่นหลิงไม่ยื่นมือเข้ามาสอด พวกเขาก็มีที่ว่างถึงสี่ที่ แม้ว่าอาจจะยังน้อยเกินไป แต่มันก็ยังดีกว่ามีแค่สองที่

“พวกเราพยายามอย่างมากในการเกลี้ยกล่อมให้เฟิ่งชิงเฉินเพิ่มจำนวนที่เข้าสังเกตการรักษาให้ และสุดท้ายประโยชน์ทั้งหมดกลับตกไปที่ผู้อื่น ช่างน่าเจ็บใจเหลือเกิน” เหล่าหมอหลวงกล่าวออกมาอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่ละคนแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา

พวกเขากลับไปยังสำนักหมอหลวงด้วยใบหน้าอันมืดมน เมื่อก้าวเข้าไปในห้อง เหล่าหมอหลวงที่กำลังรอฟังข่าวก็รีบวิ่งออกมา จูงมือของทั้งสองอย่างร้อนใจและถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง เป็นอย่างไรบ้าง แย่งมาได้อีกกี่ที่? พรุ่งนี้พวกเราสามารถเข้าไปได้กี่คน?”

“พวกเจ้าอย่ามาแย่งข้า ข้าบอกไปแล้วว่าหากได้จำนวนมาเพิ่ม คนที่ได้เข้าไปจะต้องเป็นข้า” ชายชราเคราสีขาวก้าวออกมา จับแขนของหมอหลวงที่กลับมาจากตระกูลเฟิ่งและทวงถาม “รีบพูดออกมาได้แล้ว เฟิ่งชิงเฉินเพิ่มให้พวกเราอีกกี่คน?”

“หนึ่ง......” หมอหลวงที่กลับมาจากจวนเฟิ่งกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็ถูกคนอื่นขัดเอาไว้ “หนึ่งคน? แม่นางเฟิ่งยอมเพิ่มให้แค่คนเดียวงั้นหรือ เช่นนั้นก็มิถึงข้า เฮ้อ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นของข้า เป็นของข้า” ชายชราเคราขาวดูภูมิใจ นึกถึงภาพที่เข้าได้เห็นในวันพรุ่งนี้ ภาพการผ่าตัดสมองของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหยุน ใจในของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง

“เหตุใดจึงเพิ่มให้เพียงคนเดียว? เช่นนั้นข้าก็หมดโอกาสแล้วมิใช่หรือ มิได้ มิได้ ผู้อาวุโสไป๋ พวกเรามาเจรจากันสักครู่ เจ้าอยากได้ตำราแพทย์ของตระกูลข้ามาโดยตลอดมิใช่หรือ วันพรุ่งนี้ข้า ไม่ คืนนี้ข้าจะนำมันไปมอบให้เจ้า เพื่อแลกกับการที่ข้าเข้าไปดูการรักษาในวันพรุ่งนี้” หมอหลวงในชุดสีอ่อนก้าวออกมาด้านหน้า คว้าเสื้อของชายชราที่มีเคราสีขาวเอาไว้

“เดี๋ยวก่อน รอเดี๋ยว แลกกับข้า แลกกับข้า ข้าจะนำเข็มทองคำชุดนั้นมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน” เหล่าหมอหลวงเขามาล้อมชายชราเคราขาวเอาไว้ เสนอสมบัติที่เก็บสะสมไว้ของตนเองมาเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน รวมถึงตำราที่คนภายนอกตระกูลไม่สามารถเล่าเรียนได้

“มิแลก มิแลก เอาอะไรมาข้าก็มิแลก การได้เห็นวิธีการรักษาอาการป่วยทางสมองของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหยุนถือเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับข้า ข้ายอมรับว่าข้าเองก็ไร้ซึ่งวิธีรักษา วันนี้แม่นางเฟิ่งมีวิธีการรักษา ขอแค่ข้าได้เห็นมัน ต่อให้ต้องตายข้าก็มิเสียใจ”

แทนที่จะบอกว่าสนใจในวิธีการรักษาของเฟิ่งชิงเฉินเหมือนกับหมอหลวงคนอื่น ไม่สู้บอกว่าสนใจในอาการป่วยของหยุนเซียวจะดีกว่า เนื่องจากอาการป่วยของหยุนเซียวนั้นซับซ้อน ทำให้หมอจำนวนมากสับสนและไร้ซึ่งหนทางรักษา หากพวกเขาได้เห็นวิธีการรักษา เรียนรู้เกี่ยวกับมัน สำหรับพวกเขาแล้วมันเป็นสิ่งซึ่งล้ำค่ากว่าสิ่งใด

ชายชราเคราขาวมีความสุขจนไม่อาจปิดบังได้ เขายิ้มจนปากจะฉีกถึงหู แต่หมอหลวงที่ไปจวนเฟิ่งเพื่อจำนวนที่เพิ่มเกือบจะร้องไห้ออกมา พวกเขากลัวว่าเมื่อตนเองพูดออกไป มันจะเป็นการโจมตีที่ชายชราเคราขาวไม่สามารถทนไหว

พวกเขาไม่ได้จะบอกว่าได้เพิ่มมาอีกหนึ่งที่ แต่จะบอกว่าไม่ได้เพิ่มเลยสักหนึ่งที่......

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นางสนมแพทย์อัจฉริยะ