สรุปตอน ตอนที่ 1040 ราตรีนี้ที่แม่น้ำฉินหวาย – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 1040 ราตรีนี้ที่แม่น้ำฉินหวาย ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 1040 ราตรีนี้ที่แม่น้ำฉินหวาย
สายลมยามราตรีในเดือนห้าพัดคลอเคลียต้นหลิวริมฝั่งแม่น้ำฉินหวายจนกิ่งก้านสาขาโอนเอนไปมาตามแรงลม
น้ำในแม่น้ำฉินหวายสาดกระทบริมฝั่งส่งเสียงดังครืน ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนพาซูซูและเป่ยหวังฉวนมาที่นี่ เขาหันศีรษะไปมองวัดฟูจื่อท่ามกลางความมืดมิด จากนั้นก็หันศีรษะไปทางเรือสำราญที่จอดอยู่ในแม่น้ำฉินหวย
มันมิได้แตกต่างอันใดกับตอนนั้นเลยสักนิด
เรือสำราญเหล่านั้นยังคงมีโคมไฟสีแดงสว่างลอยเหนือผืนน้ำ มีเสียงเพลงและเสียงตะโกนของผู้คนคลอเคล้ามาตามสายลม
จินหลิงยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยน
สถานที่แห่งนี้จะเจริญรุ่งเรืองยิ่ง ๆ ขึ้นไปในภายภาคหน้า
เรือสำราญในแม่น้ำฉินหวายก็อาจจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ
หงซิ่วจาวลอยอยู่เหนือน่านน้ำ มันลอยเคว้งอย่างโดดเดี่ยว ดูมิเข้ากันกับเรือลำอื่น ๆ อย่างเห็นได้ชัด
หงซิ่วจาวได้เปลี่ยนไปแล้ว
เจ้าของหงซิ่วจาวมิใช่อาจารย์หูฉินอีกต่อไปแล้ว เจ้าของคนใหม่ของหงซิ่วจาวเป็นบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือหยูเวิ่นเทียน…
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหงซิ่วจาวอย่างใจลอย จะว่าไปแล้วคนที่สร้างหงซิ่วจาวขึ้นมาก็คือสวี่หยุนชิงผู้เป็นมารดาของเขา
ตอนนั้นกิจการที่หงซิ่วจาวเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งนัก แต่ตอนนี้เล่า ?
ซูซูกอดตะกร้าขนมดอกกุ้ยฮวาที่ได้มาจากร้านอู่เว่ยจาย นางนั่งมองแม่น้ำฉินหวายแล้วกินอย่างไม่คิดอะไร และนางก็มิรู้เช่นกันว่าสามีพานางมาที่นี่ทำไม
ทุกวันนี้นางเป็นแม่คนแล้ว แต่นางก็มีอายุเพียงแค่ 19 ปีเท่านั้น ทำให้นางมีรูปลักษณ์เหมือนเด็กสาวคนหนึ่ง
เมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ว่า วันนี้สามีของนางแทบจะมิได้กินอันใดเลย นางจึงปอกเปลือกขนมดอกกุ้ยฮวาแล้วยัดเข้าไปในปากของฟู่เสี่ยวกวน “ร้านอู่เว่ยจายขยายใหญ่ขึ้นมิน้อย แต่ยังคงตั้งอยู่บนถนนฉางดังเดิม เถ้าแก่เนี้ยก็ยังเป็นหญิงสาวผู้นั้น ที่สำคัญคือรสชาติยังเหมือนเดิม ท่านลองชิมดูเถิด”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนลองชิมขนมดอกกุ้ยฮวาก็พบว่ารสชาติของมันยังคงเหมือนเดิมมิเปลี่ยนแปลง
“ตอนนั้นข้าได้ยินมาว่าเถ้าแก่เนี้ยร้านขนมกุ้ยฮวาได้ซื้อหุ้นของบริษัทเรา แล้วนางถูกสามีไล่ออกจากบ้านจริงหรือ ? ”
“ใช่ ! นางมีลูกชาย 1 คน ทว่านางก็ได้จ้างคนงานมิน้อย ตะกร้าขนมใบใหญ่นี้ นางมอบให้ข้าเองกับมือ นางรู้จักข้าด้วยล่ะ”
“พวกเราสนทนากันอยู่พักใหญ่ นางบอกว่าในภายหลัง นางได้นำหุ้นไปขายและได้กำไรกลับมามิน้อย สามีคนเก่าของนางกลับมาขอคืนดี ทว่านางก็ได้ปฏิเสธไป”
“นางเป็นสตรีที่แข็งแกร่งมากเลยล่ะ นางบอกว่าชีวิตนี้นางจะมิแต่งงานกับชายใดอีก บุรุษเหล่านั้น…ล้วนแต่มิเอาอ่าว เงินที่หามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนต่างหากถึงจะเป็นของจริง”
ซูซูหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังกินขนมดอกกุ้ยฮวาอย่างเอร็ดอร่อย
ฟู่เสี่ยวกวนลูบศีรษะของซูซู ยกยิ้มขึ้นพลางเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เป็นแบบนั้นเชียว เรื่องบางเรื่องทำรุนแรงเกินกว่าเหตุก็ใช่ว่าจะดี สามีของเจ้าเป็นสามีที่ดีที่สุดเลยใช่หรือไม่ ? ”
ซูซูยิ้มกว้าง รอยยิ้มนี้ของนางอบอวลไปด้วยความสุข
เขาเป็นสามีที่ดีที่สุดจริงหรือ ?
นางเองก็มิรู้เช่นกัน
รู้เพียงแค่ว่าเขาคือทั้งชีวิตของนาง
เขามักจะยุ่งอยู่กับงานและแทบจะมิมีเวลาพานางออกไปท่องเที่ยว
ช่วยมิได้ ! ผู้ใดขอให้เขาเป็นบุรุษที่มีความสามารถมากที่สุดในใต้หล้ากันเล่า
นี่เป็นคำเอ่ยของจางเพ่ยเอ๋อร์
จางเพ่ยเอ๋อร์มักจะเอ่ยว่าเขาเป็นบุรุษผู้มีความสามารถเหนือผู้ใดในผืนปฐพี
ซูซูมิรู้หรอกว่าเขาคือบุรุษผู้มีความสามารถเหนือผู้ใดในปฐพีจริงหรือไม่ เรื่องนี้มิได้สลักสำคัญสักหน่อย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นผู้ชายของนาง
เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
“ไปกันเถิด…พวกเราไปหาสหายเก่าที่หงซิ่วจาวสักหน่อย”
“อืม ! ”
ทั้งสามขึ้นเรือข้ามฝากไปยังหงซิ่วจาว
กิจการที่หงซิ่วจาวมิค่อยดีเท่าใดนัก
แม้มันจะจอดอยู่เหนือน่านน้ำเหมือนเรือสำราญลำอื่น ๆ แต่เมื่อขึ้นเรือไปก็พบว่าบนเรือมิมีแขกเลย เพราะที่นี่มิมีเสียงบรรเลง แม้แต่สาวน้อยต้อนรับก็ยังมิมี หรือว่าเจ้าหมอนั่นจะทำกิจการของหงซิ่วจาวล้มละลายไปแล้วกันนะ ?
หยูเวิ่นเทียนรินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นทั้งสองก็ดื่มสุราด้วยกัน
“แท้ที่จริงแล้ว…หากเจ้าเลือกที่จะเป็นปรปักษ์กับข้าในตอนนั้น ข้าก็จะมิโทษเจ้า”
“มันมิมีประโยชน์หรอก ยามที่เจ้ายังเป็นเต้าถายอยู่ว่อเฟิงเต้า ทุกอย่างที่นั่นดูเจริญรุ่งเรืองไปหมด แต่พอเจ้าจากไป ว่อเฟิงเต้าก็ล้มครืนลง”
“ตอนนั้นพวกเราเคยเจอกันครั้งหนึ่งที่ว่อเฟิงเต้า การเจอกันครานั้นทำให้ข้าเข้าใจว่า เจ้าทำเพื่อชีวิตและความเป็นอยู่ของราษฎรอย่างแท้จริง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การที่จะมิมีราชวงศ์หยูอีกต่อไป…ย่อมเป็นเรื่องดี”
“ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าข้าได้เลือกสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ข้ามิได้เลือกให้ราชวงศ์หยูต้องประสบกับเพลิงแห่งสงคราม ให้เจ้าได้เปลี่ยนราชวงศ์หยูเป็นต้าเซี่ยได้อย่างราบรื่น บัดนี้ราษฎรได้มีชีวิตที่ดีขึ้นและได้ทำงานอย่างมีความสุขมันก็เป็นเพราะเจ้ามิใช่หรือ และทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ข้าปรารถนาจะเห็น”
ฟู่เสี่ยวกวนรินสุราให้หยูเวิ่นเทียนหนึ่งจอก “แต่ข้ามิอยากเห็นเจ้าต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้”
“ข้าเริ่มจะแก่ตัวลงแล้ว”
“เจ้าเพิ่งจะสามสิบกว่าปีเท่านั้น แก่กับผีอันใดกัน ! เจ้ามิอยากต่อสู้เพื่ออนาคตที่ดีกว่าให้ลูกกับเมียเจ้าเลยหรือ ? ”
หยูเวิ่นเทียนถือจอกสุราพลางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน แม้ตัวของเขาจะอยู่ที่หงซิ่วจาว แต่ใจของเขากลับอยู่ในสนามรบ
แต่ก่อนเขาเคยเอ่ยกับเยี่ยนซีเหวินว่าการมีครอบครัวคือชีวิตที่เขาต้องการ ทว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขามักจะเอ่ยถามตนเองอยู่เสมอว่านี่คือชีวิตที่เขาต้องการจริง ๆ หรือ ?
“ได้ยินมาว่าเจ้ากำลังทำศึกกับราชวงศ์เหลียวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ข้ายังขาดแม่ทัพอยู่”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหยูเวิ่นเทียนด้วยแววตาที่เฝ้ารอ
กองทัพซีเซี่ยและกองทัพของกวนเสี่ยวซีรวมไปถึงกองทัพของท่าป๋าเฟิงล้วนแต่ต้องการผู้นำ และคนที่เหมาะสมที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นหยูเวิ่นเทียน !
“ข้าจะมอบอำนาจทหารให้แก่เจ้า เพื่อรักษาซีเซี่ยและตีราชวงศ์เหลียวให้แตกพ่าย ! ”
หยูเวิ่นเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองกระบี่ที่วางอยู่ข้าง ๆ พลางยกแก้วขึ้นแล้วเอ่ยว่า “ออกเดินทางเมื่อใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน จำต้องออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า ! ”
“หมดจอก ! ”
“ข้าจะไปแย่งชิงดินแดนทางเหนือกลับมาให้เจ้าเอง ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)