ตอน ตอนที่ 1092 หวนกลับมิได้ จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 1092 หวนกลับมิได้ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตอนที่ 1092 หวนกลับมิได้
ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดสีเขียวอ่อนย่างกรายออกไปจากพระราชวังด้วยท่าทีหลบ ๆ ซ่อน ๆ ราวกับนักโทษก็มิปาน เขาวิ่งไปขึ้นรถม้าที่จ้าวโฮ่วเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า จ้าวโฮ่วขับรถม้าฝ่าหิมะ มุ่งหน้าไปทางหอซื่อฟาง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุขมากยิ่งนัก ราวกับนกที่ได้ออกจากกรงขังมิผิดเพี้ยน เขาแทบจะอดใจรอมิไหวที่จะได้พบกับสหายวัยเยาว์ซึ่งเคยร่วมดื่มสุราด้วยกันจนมึนเมา ไม่สิ ! บัดนี้ทุกคนมิใช่เยาวชนแล้ว แต่ละคนกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว โดยมากก็มีครอบครัวแล้ว บัดนี้พวกเขาล้วนเป็นขุนนางที่เปรียบเสมือนกระดูกอันแข็งแกร่งของต้าเซี่ย
ยังจะสามารถกลับไปเป็นเหมือนในอดีตได้อยู่หรือไม่ ?
เขาเองก็มิรู้เช่นกัน แต่ก็คาดหวังและรอคอยมากยิ่งนัก
คนเหล่านั้นล้วนเป็นสหายในโลกนี้ของเขา เขามิอยากให้ตำแหน่งของเขาทำให้สหายเหล่านี้เปลี่ยนไปจากเดิม เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาเหล่านั้นจะยังเป็นดังเดิม สามารถโอบบ่าร่วมดื่มสุราด้วยกันได้ สามารถสนทนาได้ทุกเรื่องและนอนหลับไปด้วยกัน
มิตรภาพเช่นนั้นจึงจะบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และควรค่าแก่การนึกถึง
ในไม่ช้า รถม้าก็ได้ดำเนินมาถึงหอซื่อฟาง ฟู่เสี่ยวกวนได้ลงจากรถม้าแล้วตรงขึ้นไปยังชั้นสอง
ในห้องส่วนตัวที่ชั้นสอง เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ อีกแปดคนได้เข้าประจำที่แล้ว แต่ละคนได้เล่าเรื่องราวต่าง ๆ นานาที่พบเจอออกมา เมื่อฟู่เสี่ยวกวนผลักประตูเข้าไปด้านใน ทุกคนล้วนมองมาที่เขา จากนั้นก็ลุกขึ้นโค้งคารวะ “ถวายบังคมฝ่าบาท ! ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนจางหายไปทันใด เขารู้สึกผิดหวังมากยิ่งนัก “พวกเจ้าทั้งหลาย ช่างน่าเบื่อเสียจริง ! ”
เขาเดินตรงเข้าไป “ฝ่าบาทอันใดกันเล่า ! ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน พ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง ! ”
“ในวันนี้ที่ข้าเชิญพวกเจ้ามาดื่มสุราที่นี่ มิใช่เพราะต้องการจะสนทนาเรื่องราชการ มิต้องแบ่งแยกชนชั้นหรอก หากพวกเจ้ายังคิดว่าข้าเป็นสหายล่ะก็ จงอย่าทำเช่นนั้นกับข้าอีก พวกเราเรียบง่ายกันสักหน่อยมิดีกว่าหรือ ? ”
นี่มัน…
หยุนซีเหยียนจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านฟู่เอ่ยได้มีเหตุผลมากยิ่งนัก นึกถึงตอนนั้นที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยแห่งจินหลิง พวกเราได้กอดคอกันขึ้นรถม้าและได้ไปกินหม้อไฟด้วยกัน”
“นั่นสิ ! ข้าต้องการรำลึกถึงมิตรภาพในตอนนั้น มัวยืนทำอันใดกันอยู่เล่า ? นั่ง ๆ ๆ เสี่ยวเอ้อ นำสุรามา ! ”
เมื่อทุกคนเข้าประจำที่แล้ว เนื่องจากหยุนซีเหยียนอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างนาน ดังนั้นเขาจึงเป็นกันเองมากยิ่งนัก
เยี่ยนซีเหวินเองก็รู้ถึงนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี เขาจึงเริ่มเป็นกันเองขึ้นมา
ฉินโม่เหวินและหนิงหยู่ชุนก็เคยร่วมดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคราที่อยู่ในเมืองจินหลิงด้วยเช่นกัน ดังนั้นเขาเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศเช่นนี้ช่างดีมากยิ่งนัก
ทว่าฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ กลับรู้สึกว่านี่มิถูกมิควร ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้มีจักรพรรดิที่ไร้กฎระเบียบเช่นนี้ด้วยหรือ ?
ควรมีการแบ่งแยกตามอายุและยศถา อีกอย่าง…ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เป็นจักรพรรดินี่ !
ต่อให้เขาได้เป็นขุนนางขั้นหนึ่งเซิ่งกั๋วกง ทว่าเขาก็ยังมิใช่จักรพรรดิ เขายังสามารถใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้คนทั่วไปได้ตามอำเภอใจ
ทว่าบัดนี้เขาเป็นถึงจักรพรรดิ !
อีกทั้งยังเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งต้าเซี่ย !
พวกเขาที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นราษฎรของเขา !
ฟ้าดินจักรพรรดิญาติและอาจารย์ ได้เรียงลำดับความสำคัญมาแต่โบราณ การที่เขาใช้วิธีนี้เพื่อใกล้ชิดกับราษฎร มันเหมาะสมแล้วหรือ ?
ดังนั้น…บรรยากาศจึงดูแปลกไปเล็กน้อย
หยุนซีเหยียนและคนอื่น ๆ ได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวนถึงเรื่องราวต่าง ๆ นานา ทว่าฝานเทียนหนิง กงซุนเซ่อและที่เหลือมิกล้าทำเช่นนั้น นอกจากดื่มสุราแล้ว พวกเขาก็แทบมิได้เอ่ยอันใด ช่างน่าอึดอัดมากยิ่งนัก
ในทางกลับกัน จัวหลิวหวินรู้สึกเริ่มคุ้นเคยกับบรรยากาศเช่นนี้ขึ้นมา เขารู้สึกว่าจักรพรรดิผู้นี้ช่างเข้าถึงง่ายเสียจริง ดังนั้นจึงได้ร่วมชนจอกสุรากับฟู่เสี่ยวกวนไปถึงสามจอก จากนั้นก็เริ่มเปิดหัวข้อสนทนาขึ้นมา
เมื่อสุราตกลงไปถึงท้อง ฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มหน้าแดงขึ้นมา เขาหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วเดินไปข้าง ๆ ฝานเทียนหนิง “น้องฝาน อย่าหาว่าข้าตำหนิเจ้าเลยนะ ในตอนนั้นที่พวกเราได้เข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่เมืองกวนหยุนด้วยเจ้า เจ้าลืมไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“จงดื่มสุราในจอกของเจ้าลงไปให้หมด แล้วข้าจะรินให้เจ้าใหม่ สหายร่วมดื่มกันเถิด ! ”
ฝานเทียนหนิงดื่มสุราในจอกจนหมด จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รินให้เขาจนเต็มจอกอีกครา พลางยกจอกสุราของตนขึ้นมา เอ่ยอย่างจริงจังว่า
“เมิ่งจื่อกล่าวไว้ว่า การรู้จักกันสำคัญที่เข้าใจ การที่เข้าใจกันสำคัญที่รู้ใจ”
“เช่นนั้นก็เร็ว ๆ เข้า ! ”
หลิวจิ่นหยิบอุปกรณ์เหล่านั้นออกมา จากนั้นก็ทำการฝนหมึกด้วยแท่นฝนหมึก
ฟู่เสี่ยวกวนยกแขนเสื้อขึ้นเล็กน้อย เขายืนอยู่ข้าง ๆ โต๊ะหนังสือ “ในวันนี้มิตรสหายเก่าแก่ได้เดินทางมารวมตัวกัน ข้าจะเขียนในหัวข้อสหายกับกวีที่มีชื่อว่า มัวยวี๋เอ๋อร์ วันเวลาผ่านไปทุกคนอยู่หนใด”
ทุกคนในห้องนั้นนิ่งเงียบพลางจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังนำพู่กันจุ่มน้ำหมึก เขาขึ้นเป็นจักรพรรดิมาหลายปีแล้ว จะยังสามารถประพันธ์กวีได้อยู่หรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนำพู่กันจรดลงสู่กระดาษ มันยังคงเป็นตัวอักษรที่มิน่ามองดังเดิม เขาเขียนพลางเอ่ยออกมาว่า
“เมื่อวันเวลาหมุนเวียน ทุกคนอยู่ที่ใด ศาลาฉางถิงที่เคยร่วมดื่ม
เมื่อดื่มสุราเสร็จสิ้น ต่างก็จากไป แต่กิ่งก้านต้นหลิวมิได้ถูกหักลงตาม
ผมเริ่มหงอกขาว
รอมอบสุราให้ท่าน คงต้องเป็นหลังเชงเม้ง
กิ่งไผ่ดูเก่าแก่ เอ่ยถามทั้งเจียงเป่ยเจียงหนาน ผู้ทุกข์ใจเยี่ยงข้า ยังมีอีกหรือ
หากมิอาจรั้ง ก็จงฝืนต้มมันไปเสีย
……
ชีวิตนี้พบผู้คนมามากมาย แต่เสียงหัวเราะดังก้องนับร้อยปี จะมีสักกี่ครา”
เมื่อวางพู่กันลงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันกลับมาเอ่ยว่า “กวีบทนี้ ข้าประพันธ์ให้กับมิตรภาพของพวกเรา”
“สิ่งที่ข้าหวังก็คือเสียงหัวเราะที่ดังก้องนับร้อยปี มิตรภาพยืนยาวนับร้อยปี ! ”
“มา ๆ ๆ หมดจอก ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)