นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 111

ตอนที่ 111 คลายปัญหา ณ ห้องทรงพระอักษร (1)

ช่วงสุดท้ายของวัน วังเตี๋ยอี๋ภายในศาลาซิ่วชุนเหลือเพียงหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนเพียงสองคน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหยิบบทกวีนั้นกลับวัง กล่าวว่าอยากจะพักสายตาเสียหน่อย

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินกำลังส่งสายตาหยอกล้อกันอยู่ กลับพบขันทีที่เคยยืนอยู่ในท้องพระโรงเฉิงเทียนกำลังวิ่งเบา ๆ มาตามทางเดินเล็ก ๆ

“คุณชายฟู่ ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า โปรดตามข้าไปห้องทรงพระอักษร”

หยูเวิ่นหวินเหลือบมองขันทีเจี่ยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ขันทีเจี่ยรีบยกยิ้ม ค้อมกายลงและกล่าว “ขอองค์หญิงเก้าโปรดประทานอภัย เป็นรับสั่งจากฝ่าบาทอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”

“เหอะ ! ” หยูเวิ่นหวินหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าจะไปหาชูหลานสักประเดี๋ยว แล้วตอนค่ำจะไปหาเจ้า”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามขันทีเจี่ยมาถึงห้องทรงพระอักษร ยังมิทันจะได้เปิดประตูเข้าไป ก็มีเสียงโวยวายจากข้างในดังออกมา

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามิเหมาะสม นับแต่อดีตมานั้นว่าการบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นทางราชสำนักที่จะแจกจ่ายเงิน เสบียงและเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ประสบภัย ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้มิใช่ปัญหาที่เกิดจากวิธีการของการบรรเทาสาธารณภัย แต่ปัญหาเกิดจากคนของการบรรเทาสาธารณภัยพ่ะย่ะค่ะ ความตั้งใจของฝ่าบาทที่ให้ทั้งสิบสามกรมลงไปตรวจสอบมิใช่เยี่ยงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ เหล่าขุนนางที่ทำการทุจริตเหล่านั้นก็ถูกตรวจพบ และได้ทำการลงโทษเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม ทั้งยังส่งขุนนางหน้าใหม่เข้ารับตำแหน่ง ด้วยบทเรียนจากก่อนหน้านี้ กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้สามารถจัดการได้”

“กระหม่อมคิดว่าที่ราชครูหนิงกล่าวมานั้นมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ ความหมายแต่เดิมของการบรรเทาสาธารณภัยนั้นคือการมอบผลประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อมิให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการพลัดถิ่น หากทำตามวิธีการของฟู่เสี่ยวกวน ก็จะกลายเป็นราชสำนักขายเสบียงให้แก่ผู้ประสบภัยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วเหล่าผู้ประสบภัยจะมองกันเยี่ยงไร พวกต่างบ้านต่างเมืองจะมองกันเยี่ยงไร พวกเขาจะมิคิดว่าราชวงศ์หยูใช้สถานการณ์ยากลำบากนี้รังแกผู้ประสบภัยเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”

“แต่ก็มิสามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ การจัดการหลังภัยพิบัติที่ได้กล่าวไว้ในกลยุทธ์นี้ก็ยังคงมีความสมเหตุสมผลอย่างมาก โดยเฉพาะการนำศพมาเผารวมกัน แม้จะดูไร้มนุษยธรรมอยู่มาก แต่ด้วยวิธีนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรคระบาดได้อย่างแท้จริง ยังจำได้ว่าเมื่อไท่เหอปีที่ 39 ยังคงเป็นเหตุอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอ ตามการจดบันทึกหลังเกิดภัยพิบัติ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยมากกว่า 42,000 คน แต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุอุทกภัยกลับคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 123,000 คน เมื่อใคร่ครวญในยามนี้ น่าจะเป็นเพราะศพเหล่านั้นมิได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีพ่ะย่ะค่ะ”

“…..”

องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรรู้สึกปวดเศียรเล็กน้อย ใต้บัลลังก์นั่งอยู่ทั้งหมด 5 คน หนึ่งคือราชครูหนิงฝาชุน อีกหนึ่งคือเสนาบดีกรมคลังต่งคังผิง ต่างก็แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ามิเห็นด้วยกับนโยบายนี้

แต่เดิมเขานั้นยังคาดหวังกับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซี แต่เยี่ยนเป่ยซีกลับทำตัวลื่นเป็นปลาไหล เมื่อมีเรื่องดีหนึ่งสิ่งก็มิอาจปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง แต่นั่นก็เป็นการปฏิเสธกลยุทธ์นี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว โดยการหยิบยกการจัดการหลังภัยพิบัติที่มิเกี่ยวข้องกันขึ้นมา ข้าเองก็ทราบว่าการจัดการหลังภัยพิบัตินั้นสำคัญยิ่ง แต่การจัดการหลังภัยพิบัตินั้นมิได้ยุ่งยากเท่ากับการบรรเทาสาธารณภัยมิใช่หรือ ?

เฟ่ยปังเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เยี่ยนซือเต้าเป็นตัวแทนองคมนตรี ทั้งสองคนเป็นผู้รับผิดชอบทางการทหาร และพร้อมที่จะพิจารณานโยบายสงครามเหล่านั้น ทว่าในยามนี้ คนอื่น ๆกำลังถกเถียงกันเรื่องการบรรเทาสาธารณภัย คาดว่าทั้งสองคนคงมิกล่าวอันใด

สายตาของเขามองออกไปทางข้างนอก ในใจพลันดีใจ ฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงแล้ว

“กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะคุกเข่าลงไปคำนับ แต่องค์ฮ่องเต้กลับกล่าวว่า “มามามา มิต้องพิธีรีตองอันใดมาก กลยุทธ์นี้เจ้าเป็นผู้ทำขึ้นมา เจ้าจงมาไขข้อสงสัยให้พวกเขาประเดี๋ยวนี้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)