นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1192

สรุปบท ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 ): นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 ) – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 ) จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 1192 ศึกเมืองปาฎลีบุตร ( 3 )

ศึกเมืองปาฎลีบุตรถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ของต้าเซี่ยในภายหลัง

การดึงดันเข้าโจมตีกำแพงเมืองของแม่ทัพเฮ้อซานเตาถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการทหารส่วนใหญ่

สถานการณ์ของสงครามได้แปรเปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวขึ้นของปืน !

ถ้าหากเป็นยุคที่มิได้มีการคิดค้นยุทโธปกรณ์ การเอาชนะศัตรูหนึ่งต่อสิบย่อมมีความเป็นไปได้โดยการใช้กำลังภายในหรือใช้อาวุธที่มีพลังทำร้ายสูง

ทว่าเมื่อมียุทโธปกรณ์จำพวกปืนอุบัติขึ้นมา การใช้กำลังภายในต่อกรกับอำนาจของมันถือเป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี

อดีตผู้สังเกตสำนักเต๋าเคยเอ่ยเอาไว้ว่า เมื่อปืนถูกใช้อย่างแพร่หลาย ใต้หล้าจะไร้ซึ่งยุทธภพอีกต่อไป

แม้แต่จอมยุทธ์ระดับปรมาจารย์ก็มิอาจต้านทานแสนยานุภาพของปืนได้ แล้วนับประสาอันใดกับปุถุชนกันเล่า

แม่ทัพเฮ้อซานเตาเป็นนายน้อยเศรษฐีที่ดินแห่งหลินจื๋อ เขามิเคยร่ำเรียนหนังสือ เขาเพิ่งจะอ่านหนังสือออกหลังจากที่เข้าร่วมกองทัพดาบเทวะเสียด้วยซ้ำ

ตลอดระยะเวลาที่เขาเข้ารับราชการทหาร เขารบชนะนับครามิถ้วน ยกตัวอย่างเช่น… ศึกกับแคว้นฮวง ศึกบนที่ราบฮวาจ้ง หรือศึกบนแผ่นดินใหญ่ลีอาห์เป็นต้น

แน่นอนว่า…ชัยชนะทั้งหมดนี้ย่อมเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความเก่งกาจเฉพาะบุคคล ที่ผ่านมาเขาได้เผชิญหน้ากับกองทัพที่อ่อนแอกว่า ฝ่ายตรงข้ามไร้หนทางที่จะต้านทานการคุกคามจากฝ่ายตน

เขามีกองนาวิกโยธินที่ไร้เทียมทานที่สุดของต้าเซี่ยอยู่ในมือ และเป้าหมายของการก่อตั้งกองนาวิกโยธินในตอนแรกนั้นมิได้มีไว้เพื่อกระหน่ำโจมตี ฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยต้องการใช้กองทัพนี้จู่โจมตัดศีรษะของศัตรูและเพื่อปฏิบัติภารกิจพิเศษ

ทว่าเฮ้อซานเตากลับใช้หน่วยรบพิเศษเช่นนี้เป็นกองกำลังหลักในการเข้าเผชิญหน้า

แม้อาวุธของจักรวรรดิโมริยะจะด้อยกว่า แม้ว่าปืนของพวกเขาจะมิอาจเทียบเคียงกับปืนเหมาเซ่อได้ แต่ปืนของพวกเขาก็ยังมีศักยภาพมากพอที่จะนำภัยอันตรายมาสู่ชีวิตของทหารต้าเซี่ย !

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่เฮ้อซานเตาทราบดี !

ทว่าเขาก็ยังมิวายที่จะกระทำความผิดคราใหญ่หลวงอยู่ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะลุ่มหลงในชัยชนะจนเสียสติ หรืออาจเป็นเพราะจริง ๆ แล้วเขามิเข้าใจเรื่องของการบัญชาศึกเลยสักนิด

เยี่ยงไรเสีย บัดนี้สงครามสนามแรกที่เมืองปาฎลีบุตรฝ่ายใดจะเป็นแพ้ ฝ่ายใดจะชนะก็ยังมิมีผู้ใดสรุปได้

……

……

ขณะนี้ทหารป้องกันเมืองหลายแสนนายได้ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง

ทหารนาวิกโยธิน 7,000 นายระดมยิงออกไปอีกครา ครานี้กระสุนคร่าชีวิตของฝ่ายตรงข้ามหลายพันศพ

ศัตรูที่ประจำการอยู่บนกำแพงฝั่งที่เฮ้อซานเตาปีนขึ้นไปนั้นตายเรียบด้วยพลังของปืนเหมาเซ่อ

ทว่าทหารฝ่ายศัตรูที่ปีนขึ้นมาจากสามฟากของกำแพงที่เหลือกำลังเตรียมยิงจากระยะไกล

อามีลกลับเข้าไปในเมือง เขาได้ระดมกำลังพลจำนวน 200,000 นายภายในระยะเวลาอันสั้นอีกครา

พลเรือน 200,000 นายนี้ ได้รับปืนเพียงแค่ 50,000 กระบอกเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 150,000 นายให้ใช้ดาบบุกตะลุยเข้าไป พวกเขาเหล่านี้เป็นเพียงวัตถุทางสงคราม ทว่าเยี่ยงไรเสียพวกเขาก็มีมากพอที่จะทำให้ทหารนาวิกโยธินของต้าเซี่ยต้องเสียกระสุนจำนวนมหาศาล และที่สำคัญก็คือพวกเขาจะยืดเวลาของการปะทะครานี้ออกไป

ทหารของจักรวรรดิโมริยะบาดเจ็บและล้มตายเป็นแถบ ๆ ส่วนทหารนาวิกโยธินก็ลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นกัน

เมื่อสุริยาลอยเด่นอยู่กลางท้องนภา กองทัพของพระเจ้าอโศกแห่งจักรวรรดิโมริยะก็ได้เดินทางมาถึง

บัดนี้ทหารนาวิกโยธินเหลือเพียงแค่ 3,000 นายเท่านั้น

จิตใจของเฮ้อซานเตาจมดิ่งลงสู่ก้นเหว นี่เป็นคราแรกที่เขาต้องเผชิญกับทางตัน

พระเจ้าอโศกนำกองทัพ 300,000 นายพุ่งเข้าหากำแพงเมืองอย่างมิคิดชีวิต เฮ้อซานเตาหันขวับไปคำรามใส่ถังเชียนจวินว่า “เจ้าจงรีบเดินทางไปหาฝ่าบาท…ข้าเฮ้อซานเตาจะขอติดตามพระองค์ทุกชาติไป ! ”

“เจ้าจะบ้าหรือเยี่ยงไร ถ้าหากจะหนี ก็ต้องพาพี่น้องของพวกเราหนีไปด้วยกันสิ ! ”

เฮ้อซานยืนอยู่บนกองซากศพและโลหิตที่เจิ่งนอง เขามองไปรอบ ๆ อย่างเลื่อนลอย มุมปากเผยอขึ้นเล็กน้อย “เหล่าถัง พวกเราหนีไปที่ใดมิได้แล้ว”

“ไปมิได้ก็มิต้องไปสิ ยอมแลกชีวิตเพื่อบ้านเมืองถือเป็นหน้าที่ของทหารอยู่แล้ว”

“เหล่าถัง…ครานี้ข้าทำผิดอย่างมหันต์ ข้าทำให้พี่น้องของเราต้องตกตาย อาจทำให้เจ้าต้องตกตายไปด้วยเช่นกัน”

“พล่ามอันใดของเจ้า ! นี่เป็นการเสียสละเลือดเนื้อเพื่อชาติบ้านเมือง ! ”

“แต่ว่า…เจ้ายังมิได้แต่งงานเลยนะ”

ถังเชียนจวินผงะ เขาเงยหน้าพลางทอดมองไปยังทิศที่ตั้งของมาตุภูมิ จริงสิ ! ข้ายังมิได้แต่งงานเลยนี่

เขาหันหน้ากลับมาแล้วยิ้มจนตาหยี “ดีแล้วล่ะ ! มิเช่นนั้นข้าคงคิดถึงนางมากยิ่งนัก”

“ข้ารับปากเมียข้าเอาไว้แล้วว่าจะมีลูกด้วยกันอีก 2 คน ทว่าข้ามีลูกชายแล้ว 1 คน ตระกูลเฮ้อมีคนคอยสืบทอดตระกูลแล้ว”

เขาสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “เอาล่ะ…รีบตายแล้วรีบกลับชาติมาเกิดเถิด ! ”

“ถังเชียนจวินจงฟังคำสั่งของข้า” สีหน้าของเฮ้อซานเตาแปรเปลี่ยนเป็นอำมหิตทันพลัน “ให้ทุกคนร้องเพลงกองทัพ ทุกคนจงคุ้มกันข้า ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะสังหารจักรพรรดิขี้หมานั่นให้จงได้ ! ”

ถังเชียนจวินเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เมื่อสิ้นเสียงของเฮ้อซานเตา เขาก็เหินขึ้นไปบนท้องนภาทันที !

“คุ้มกัน ! พี่น้องทุกคน…จงคุ้มกันท่านแม่ทัพจากกระสุนปืน… ! ”

เฮ้อซานเตาทะยานเข้าไปในตัวเมือง

เขาเห็นช้างงามนั้นมาสักพักแล้ว บนช้างตัวนั้นมีขนนกยูงปักอยู่บนหัวของมันสองเส้น มีชายวัยกลางคนสวมชุดทหารเต็มยศนั่งอยู่บนนั้น !

เขามิรู้หรอกว่านั่นคือจักรวรรดิของแคว้นโมริยะ ทว่าเมื่อเห็นผู้คนมากมายเชื่อฟังคำสั่งของเขา จึงทำให้เฮ้อซานเตามั่นใจว่าเขาต้องเป็นจักรพรรดิแน่นอน

เฮ้อซานเตามิได้คาดเดาผิด เพราะพระเจ้าอโสกนั่งอยู่บนหลังช้างตัวนั้นจริง ๆ บัดนี้เขากำลังบัญชาการให้ทหารใหม่พุ่งไปที่กำแพงเมือง

กำแพงเมืองมีศพตายเกลื่อนเป็นกองพะเนิน

ถังเชียนจวินยืนอยู่บนซากศพ เขาหันไปมองทั่วทุกสารทิศ มิเห็นสหายร่วมรบแม้แต่คนเดียว พวกศัตรู…มันมีกี่คนกันนะ ?

มิรู้สิ !

บัดนี้ยังมีศัตรูรอดชีวิตอีกกี่คนกัน ?

เขาก็มิรู้เช่นกัน !

โลหิตไหลอาบร่างจากบาดแผลบริเวณหน้าท้อง หูของเขาถูกตัดขาดไปข้างหนึ่ง ทว่าเขายังคงจับปืนเอาไว้แน่น

มีศัตรูยืนอยู่จากที่ไกล ๆ กำลังเล็งกระบอกปืนมาทางเขาด้วยความประหม่า

อามีลนำทหารที่เหลืออีก 10,000 นายเดินออกมาในตอนนั้นเอง

เขาจ้องมองซากศพที่กองซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ เขาย่ำอยู่บนเลือดที่เจิ่งนองจนเกือบจะท่วมฝ่าเท้า จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาถังเชียนจวิน

ทหารต้าเซี่ย 10,000 นายสังหารทหารโมริยะมากถึง 500,000 นาย !

ถ้าหากเสด็จพ่อมิได้นำทหาร 300,000 นายนั้นเข้ามาช่วยเหลือได้ทันเวลาพอดี เกรงว่าเมืองหลวงแห่งนี้คงจะตกอยู่ในมือของข้าศึกเสียแล้ว

นี่เป็นกองทัพที่สมควรได้รับการยกย่องเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเหล่านี้สมควรได้รับการยกย่องอย่างแท้จริง !

เขายืนอยู่ห่างจากถังเชียนจวินราว 3 จั้ง ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงเพลงถูกเปล่งออกมาจากปากของถังเชียนจวิน

แม้เขาจะมิเข้าใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามันปลุกใจได้ดีมากยิ่งนัก

“เผชิญคลื่นใหญ่อย่างทะนง”

เลือดร้อนแรงดั่งแสงสุริยา !

กระดูกเอ็นแกร่งดั่งเหล็กกล้า ปณิธานทอดยาว วิสัยทัศน์กว้างไกล…”

“ข้าเสนาธิการหน่วยรบนาวิกโยธินแห่งต้าเซี่ย ขอรายงานต่อท่านแม่ทัพเฮ้อ… ! ”

เขาชักดาบขึ้นมา

จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาอามีล !

ผืนปฐพีเป็นพยาน

สะท้อนปณิธานของข้า

คลื่นซัดสาด นภากว้างงดงามและยิ่งใหญ่…”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)