ตอนที่ 12 ชื่นชมผลงาน
ณ สำนักศึกษาหลินเจียง
ต่งชูหลานและชายชราผมขาวนั่งเล่นหมากรุกอยู่ข้างสระบัว
ชายชราวางหมากตัวสีดำลงไป แล้วถามขึ้นว่า “เรื่องพ่อค้าหลวง……กำหนดเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ต่งชูหลานยิ้ม “ท่านปู่ฉินท่านมิได้ช่วยข้า แล้วท่านรู้ได้อย่างไร?”
“หึหึ หมากวันนี้เจ้าวางอย่างง่าย ๆ แต่มีระเบียบ เห็นได้ว่าไม่มีเรื่องอื่นใดที่ต้องให้คิด”
“เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถมองออก?”
“เดินหมากรู้นิสัย มองอักษรเข้าใจผู้เขียน นี่คือเหตุผลขั้นพื้นฐาน มิใช่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่อะไร”
ต่งชูหลานเมื่อนึกถึงกวีสองบทขึ้นมาได้ ก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นไม่เป็นความจริงเท่าไรนัก จึงได้ส่ายหัว
อาจารย์ฉินหัวเราะ “เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้เดินทางไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนและพบเจอคนคนหนึ่งเข้า ฟู่เสี่ยวกวน ท่านคงเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง นั่นก็คือบุตรชายของฟู่ต้ากวน”
“อ้อ คุณชายผู้นั้นหรือ ข้าย่อมเคยได้ยินอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ฟู่ต้ากวนก็มีความต้องการที่จะเชิญข้าไปสอนหนังสือแก่บุตรชายของเขา ค่าตอบแทนคือ 1,000 ตำลึงต่อหนึ่งเดือน…… หึหึ เขาช่างใจกว้างยิ่งนัก แต่ตอนนั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ของบุตรชายเขาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วหลินเจียง ข้าเองย่อมไม่ไปแน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่บุตรชายของเขาทำให้เจ้าไม่พอใจ เขาก็ให้คนนำภาพในสมัยก่อนก่อตั้งราชวงศ์มาให้ เพื่อให้ข้าช่วยตรวจสอบให้”
อาจารย์ฉินพูดขึ้นอีกว่า “ภาพนั้นเป็นของแท้ เขาต้องการมอบให้ข้า และเอ่ยว่า……เขาเป็นเพียงคนธรรมดา มองไม่เห็นคุณค่า หากเก็บไว้ที่เรือนก็เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า แน่นอนว่าข้ามิได้รับไว้……เจ้าเจอบุตรชายของเขาอีกครั้ง ชายคนนั้นคงไม่ได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกใช่ไหม?”
ต่งชูหลานส่ายหน้า นางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนซีซาน ก่อนจะวางหมากพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า พวกท่านเข้าใจอะไรเขาผิดไปหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อครั้งที่หอหลินเจียง เจ้าเองเคยเห็นมากับตา”
“แต่ว่า……” ต่งชูหลานกัดฟัน “ข้าพบเขาที่เรือนซีซาน คำพูดและการกระทำนั้นช่างแตกต่างจากเดิมมาก เหมือนมิใช่คนเดียวกัน แต่รูปร่างหน้านั้นไม่ผิดแน่นอน อีกอย่าง……อาจารย์ฉินรอสักครู่”
ต่งชูหลานลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นนางก็เดินออกมาในมือมีกระดาษอยู่สองแผ่น
นางนำกระดาษสองแผ่นนี้วางลงบนกระดานหมาก “อาจารย์ฉิน จากคำเล่าขานและการที่ข้าเองได้ตรวจสอบ คน ๆ นี้……ไม่มีความสามารถด้านกวีเช่นเดียวกับที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ หากแต่ท่านลองดูบทกวีสองบทนี้สิ”
อาจารย์ฉินตะลึงเล็กน้อย เขานำกระดาษขึ้นมาดูและขมวดคิ้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “สิ่งนี้เขาเป็นผู้แต่งเยี่ยงนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เพียงแต่ตัวอักษรของเขานั้นไม่น่ามองยิ่งนัก ข้าจึงคัดลอกมาหนึ่งฉบับ”
“ภูเขาเขียวหนาราวคิ้วของหญิงสาว คลื่นน้ำสีเขียวใสเหมือน……ดวงตาของคนเมา”
“……ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล”
“นี่……เขาแต่งจริง ๆ หรือ ?”
“ข้าแน่ใจ บ่าวของเขาเล่าว่า คืนเทศกาลตวนอู่นั้น เขานั่งอยู่ที่หน้าต่าง แล้วเขียนกวีบทนี้ออกมา”
“บ่าวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า กวีบทที่สองนี้ เขาแทบไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดเลยด้วยซ้ำ”
อาจารย์ฉินขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน แล้วหยิบแผ่นที่สองขึ้นมา
“ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”
“……ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา”
ต่งชูหลานนำมือมาจับที่คาง แล้วหวนคิดก่อนจะเอ่ยว่า “กวีนี้ในตอนนั้นประโยคแรกขึ้นต้นด้วย ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย แต่หากเป็นหลักการแต่งแล้ว ควรจักเขียนเป็นเจียงหนาน ด้วยเหตุนี้จึงได้แก้ไขมาเป็นดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน”
อาจารย์ฉินมิได้ตอบสิ่งใด เขานิ่งเงียบและพิจารณากวีสองบทนี้ จากนั้นจึงวางลง
“หากเขาแต่งกวีนี้จริง……ก่อนหน้านี้คงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกระมัง!”
“จงดูตรงนี้ บรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยังสือซานโหลวไม่อิจฉาบทเพลงกู่หยางโจวอีกต่อไป สือซานโหลวนั้นเดิมทีคือสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ซีหูในสมัยก่อนราชวงศ์ แต่ถูกทำลายด้วยไฟจนพินาศ มีบันทึกไว้ใน《เมิ่งเหลียงลู่ 》ซึ่งก็คือเมืองฝานโจวในปัจจุบันนี้ มันตั้งอยู่ในอาณาเขตของหยางโจว เมื่อราชวงศ์หยูก่อตั้งขึ้น จึงแยกหยางโจวและหางโจวออกจากกัน 《เมิ่งเหลียงลู่ 》คือหนังสือที่ไม่ได้แพร่หลายสู่ชุมชน มีเพียงไม่กี่คนที่เคยอ่าน”
“สือซานโหลวหมายถึงชั้นสิบสามงั้นหรือ?” ต่งชูหลานถามขึ้น
“มิใช่ สือซานโหลวหมายถึงสิ่งก่อสร้าง 13 แห่งของต้าฟอโถวหลังภูเขาหิน”
ต่งชูหลานจ้องตาเขม็ง แล้วเอ่ยว่า “เขา……หลอกข้า!”
อาจารย์ฉินหัวเราะ “เขาหลอกสิ่งใดกัน?”
“เขาบอกว่า……เขาชอบเลขสิบสาม……เป็นจำนวนจินตภาพ และเขายังอธิบายว่าเป็นการมองจากที่สูงก็ได้เช่นกัน”
“ฮ่าๆๆๆๆ การอธิบายเช่นนี้ช่างน่าสนใจนัก ทักษะการแต่งนั้นดีนัก เขาใช้วิธีพรรณนาถึงความรู้สึกที่สื่อออกมาเป็นความสวยงามของท้องฟ้าภูเขา แฝงไปด้วยความสุขในการดื่ม บทส่งท้ายเป็นการใช้เพลงเป็นหลัก เขียนถึงความสุขของผู้ท่องเที่ยวแอบแฝงไว้ด้วยจิตใจที่เมามาย และร่างกายที่เร่ร่อน”
“ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ เจ้าดูซี การใช้กวีแห่งสายน้ำมาไว้ในกวี แท้จริงแล้วไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อนำมาวางไว้ในที่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนจินตนาการตามไปด้วยได้ นี่เป็น……ผลงานที่มีคุณภาพระดับอาจารย์ทีเดียว เจ้าลองดูผลงานที่บรรดาอาจารย์แต่งไว้ในวันตวนอู่สิ หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็รู้ทันทีว่าใครแพ้ใครชนะ”
จากการอธิบายของอาจารย์ฉิน ต่งชูหลานจึงเข้าใจบทกวีนี้มากกว่าเดิม และยิ่งรู้สึกว่าชายผู้นั้น……ดูลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านปู่ฉิน ท่านว่า……จะมีผู้เข้าใจความหมายที่แท้จริงหรือไม่?”
“มีอยู่คนหนึ่ง อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนหยุนชวนผู้โด่งดังของราชวงศ์หยู เขาสนับสนุนจักรพรรดิอยู่นานถึง 20 ปี เป็นผู้ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ เยี่ยนหยุนชวนนั้นเกิดในครอบครัวพ่อค้า เขาอาศัยอยู่ในหอนางโลมโดยมิได้เรียนหนังสือ จนกระทั่งอายุได้ 23 ปีจึงบรรลุ เก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสืออยู่ 3 ปี ไท่เหอปีที่หกเป็นจงจวี่ ไท่เหอปีที่เจ็ดได้เป็นจอหงวน ไท่เหอปีที่แปดได้เป็นผู้พิพากษาแห่งหลูเซี่ยน ปีต่อมาการประเมิณงานของเขาก็ดีเยี่ยมทุกอย่าง และได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลูโจว และเข้าเมืองหลวงในอีกสามปีต่อมา หลังจากล้มลุกคลุกคลานในราชสำนักเป็นเวลา 3 ปี ในที่สุดก็ได้รับเลือกเป็นอัครมหาเสนาบดี”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)