ตอนที่ 13 หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
เที่ยงวัน แดดแสบร้อนเล็กน้อย ณ หอหลินเจียง
ฟู่เสี่ยวกวนมองป้ายอักษรสีทองที่หอหลินเจียง ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากในตอนแรกไม่มาเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ น่ากลัวว่าตนเองในโลกก่อน คงจะตายในสนามรบจริง ๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา เขาหัวเราะขึ้นมา จนไป๋ยู่เหลียนและชุนซิ่วที่มองอยู่ประหลาดใจ
“ปลานึ่งซอสเปรี้ยวหวานและกุ้งผัดใบชาของที่นี่ไม่เลว ไปลองกันเถอะ”
เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถง หลงจู๊ก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ “โอ้ แขกผู้มีเกียรติ เชิญคุณชายฟู่ด้านใน… คุณชายฟู่ ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของท่านมีแขก มิทราบว่าจะจัดให้ท่านอยู่ที่ห้องเทียนจื่อหมายเลขสองได้หรือไม่?”
ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของหอหลินเจียงนั้นมีไว้เพื่อคุณชายแห่งจวนฟู่โดยเฉพาะ เพียงแค่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งที่แล้วคุณชายฟู่ก็ไม่ได้มาที่นี่อีก คาดว่าน่าจะได้รับบทเรียนแล้ว และน่าจะถูกนายท่านฟู่ขังไว้ที่บ้าน แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาในวันนี้ ประจวบเหมาะกับที่พ่อค้ารายใหญ่ของเมืองหลินเจียงที่เชิญต่งชูหลานบุตรีของเสนาบดีกรมคลังสมัยนี้มา… นั้นทำให้หลงจู๊กังวลใจอย่างมาก เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องไร้เหตุผลอะไรขึ้นมาอีก
หากบุรุษผู้นี้ต้องการห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่ง และไปทำร้ายชาวบ้านเข้า เกรงว่าร้านของตนนั้นจะได้รับผลกระทบไปด้วย
“มิเป็นไร พวกข้าสามคน อยู่ด้านนอกก็ได้ หาที่นั่งข้างหน้าต่างก็เป็นพอแล้ว”
น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนดูนุ่มนวล โดยที่ใบหน้านั้นไร้ซึ่งความขุ่นเคือง หลงจู๊เหลือบมองอีกครา แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “ด้วยฐานะคุณชายฟู่ คงไม่เหมาะที่จะนั่งด้านนอก หากคุณชายฟู่ยินยอมที่จะใช้ห้องเทียนจื่อหมายเลขสอง ก็ถือว่าให้หน้าแก่กู้โหมวเทียนแล้ว”
ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของหอหลินเจียงนั้นใหญ่มาก ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสง่างาม มีโต๊ะ 8 ตัว ทั้งยังมีเวทีสำหรับการร้องรำและเล่นดนตรีอีกด้วย ห้องเทียนจื่อหมายเลขสองจะด้อยกว่า สำหรับฟู่เสี่ยวกวนในเวลานี้ เขาไม่ต้องการห้องใหญ่แบบนั้น ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “กู้หลงจู๊มิต้องทำเช่นนี้หรอก ข้าสามคนจะนั่งข้างนอก นำน้ำชาหลงจิ่งมาให้พวกข้าหนึ่งกา นอกจากนั้น… ข้าสั่งปลานึ่งซอสเปรี้ยวหวาน ที่เหลือเจ้าช่วยจัดการต่อด้วย เอาแบบนี้ล่ะ เจ้าไปทำธุระต่อเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง กู้หลงจู๊จ้องมองแผ่นหลังนั้นอยู่นาน หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า และบ่นออกมาเสียงเบา “คงไม่ใช่ว่ามีความคิดที่ไม่ดีอันใดหรอกกระมัง”
หลังจากนั้นเขาจึงตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อเสียงดัง “คุณชายฟู่ชั้นสอง นำหลงจิ่งชั้นเยี่ยมหนึ่งกาขึ้นไปเดี๋ยวนี้!”
หลายวันมานี้ชุนซิ่วก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับนิสัยของคุณชายบ้างแล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับใช้สายตาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน
ทั้งสามคนนั่งริมหน้าต่าง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยยิ้มๆ “ในคราแรก ก็คือที่นั่งนี้ ที่ได้พบกับต่งชูหลาน จนเกิดเรื่องเรื่องนั้นขึ้น”
ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “นี่คือสถานที่แห่งความทรงจำ อยากจะหาโอกาสแก้แค้นรึ?”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “หาโอกาสแก้แค้นอันใด ข้ารนหาที่เอง แท้จริงแล้วข้ารู้สึกขอบคุณนางเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่คนผู้นั้น…กล่าวไปพวกเจ้าก็มิเข้าใจหรอก”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “ชีวิตราวกับฝัน… หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร ณ วันนี้เวลานี้ อยากจะดื่มสักสองจอก”
ต่งชูหลานมาตามเวลานัดหมาย และมีอาจารย์ฉินแห่งสำนักศึกษาหลินเจียงติดตามนางมาด้วย
ทันทีที่เดินขึ้นมายังชั้นสอง สายตาก็พบเห็นฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างทันที
ในขณะที่เขาจ้องมองออกไปที่นอกหน้าต่าง และเอ่ยประโยคนั้นออกมา “ชีวิตราวกับฝัน หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร”
“ข้าเลี้ยงเจ้าสองจอก!”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนหันกลับมามอง ก็เห็นต่งชูหลานที่มีผ้าคลุมปิดหน้ามองเขาด้วยท่าทีขบขัน
“บังเอิญเสียจริง ? ” ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “มาเถอะ มานั่งด้วยกัน เชิญท่านนั่งเถิด”
อาจารย์ฉินไม่เอ่ยอะไร เขานั่งลงเงียบ ๆ และมองแต่เพียงฟู่เสี่ยวกวน
“ชีวิตก็เหมือนฝัน… คุณชายฟู่กำลังคร่ำครวญเรื่องใดกัน?”
“เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเพียงพริบตา เวลานั้นข้ายังไม่รู้ความนัก จึงได้ก่อความขัดเคืองให้แม่นางที่นี่ ในวันนี้ข้าขอลงโทษตัวเองด้วยสุรา”
ต่งชูหลานตาเป็นประกาย “มียอดสุราซีซานรึ?”
“ไม่มีสิ่งนั้นจริง ๆ แต่ครั้งนี้ได้นำสุราสองชนิดกลับมาแทน ชนิดนี้เรียกเซียงเฉวียน อีกชนิดเรียกเทียนฉุน ด้อยกว่ายอดสุราซีซานเล็กน้อย แต่เทียนฉุนก็เทียบเคียงกับเทียนเซียงได้เช่นกัน”
“นำมาลองลิ้มรสสิ”
“ไม่ได้พกมา หลายวันมานี้ที่หยู๋ฝูจี้จำกัดจำนวนการขาย เมื่อถึงเวลา… โอ้ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางจะกลับเมืองหลวงในอีกสองวัน เมื่อถึงเวลาข้าจะวานคนนำไปให้เจ้าเล็กน้อย”
อาจารย์ฉินได้ยินเยี่ยงนั้นก็ยากที่จะเชื่อได้ สามารถเทียบเคียงกับสุราเทียนเซียงได้รึ ? จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?
เขาจ้องมองต่งชูหลานด้วยความมึนงง ต่งชูหลานกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเชื่อ เพราะยามที่ข้าได้ไปเรือนซีซานนั้น ได้ลองลิ้มรสสุราที่ดีกว่าเทียนเซียงมาแล้ว… ข้าได้นำกลับมา 2 ไห แต่กำลังครุ่นคิดว่าจะนำไปมอบให้องค์หญิงใหญ่ที่เมืองหลวง เพื่อปูทางในวังหลวงให้กับสุราของเจ้า กลับไปแล้วข้าจะให้ท่านปู่ฉินได้ลิ้มรสสักเล็กน้อยดีหรือไม่?”
อาจารย์ฉินมีความสุข “เด็กคนนี้นี่…” เขาไม่ได้ต่อความยาว แต่กลับหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าชีวิตราวกับฝัน หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร นั่นคือประโยคในบทกวีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จักอาจารย์ฉิน แต่ถึงแม้ชายชราผู้นี้จะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ท่าทางการขยับไม้ขยับมือนั้นราวกับท่วงท่าของปรมาจารย์ ยิ่งรวมกับที่เขาหัวเราะและเรียกต่งชูหลานราวกับเป็นหลานสาว ตัวตนย่อมสูงส่ง คิดอย่างไรก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสของต่งชูหลาน
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงคำนับอาจารย์ฉินอย่างระมัดระวัง แล้วรับกาน้ำชามาจากเสี่ยวเอ้อ ก่อนจะกล่าวขณะรินชาว่า “ความรู้สึกเพียงครั้งคราว ข้าได้พบกับแม่นางต่งครั้งแรกที่นี่ เพราะความบุ่มบ่ามในครานั้น ทำให้แม่นางต่งเกิดขุ่นเคือง แต่เพราะตื่นขึ้นมา จึงรู้สึกว่าชีวิตคนนั้นราวกับความฝัน”
“ดังนั้นเจ้าถึงต้องขอบคุณข้า”
ต่งชูหลานและฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างคุ้นเคยกันดี จึงพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
“แน่นอน เจ้าดูสิ ข้ามีสุราชั้นดีแต่ก็เชิญให้เจ้ามาชิมก่อน”
“ในวันนี้เจ้ามิมีสุรา แต่ข้าจักต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้ว เยี่ยงนั้นเจ้าก็แต่งบทกวีให้แก่ข้าในตอนนี้ได้ไม่ ? ”
“นี่มัน… เจ้าได้มอบปัญหาที่ยากมาให้แก่ข้าแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวโดยที่ครุ่นคิดไปด้วย ก่อนจะกล่าวกับเสี่ยวเอ้อ “ช่วยไปนำหมึกกับพู่กันมาให้ข้าที”
แต่เดิมอาจารย์ฉินคิดว่าเขาจะยอมล่าถอย เพราะต่งชูหลานเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น การแต่งบทกวีมิใช่เรื่องง่ายดายราวกับหยิบมือ แต่ต้องมีการจัดระเบียบหลายครา และโคลงที่ดีต้องมีการขัดเกลาหลายครั้ง ดังนั้นต่งชูหลานจึงได้ให้อาจารย์ฉินอ่านบทกวีสองโคลงนั้น ต่งชูหลานกล่าวว่าเขานั้นลงมือเพียงครั้งเดียว อาจารย์ฉินกลับไม่เชื่อ
การแต่งบทกวีอย่างทันทีนั้นเกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่โดยปกติแล้วคำศัพท์เหล่านั้นจำต้องศึกษาโดยละเอียด
โจทย์คือการจากลาของต่งชูหลานในวันพรุ่งนี้ นี่คือบทกวีอำลา ดูสิว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเขียนออกมาเยี่ยงไร
ยังคงเป็นชุนซิ่วที่ฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กันไว้อย่างครุ่นคิด
ประตูห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งเปิดออก ชวูชั่งหลายหัวหน้าตระกูลชวูจี้เดินออกมา แต่เดิมเขาเตรียมจะเดินลงไปทักทายต่งชูหลานและอาจารย์ฉิน แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะนั่งอยู่ที่ด้านนอกในเวลานี้
เขาเดินเข้ามา และกำลังจะทักทาย แต่อาจารย์ฉินกลับโบกมือให้เขา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)