นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 14

สรุปบท ตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์ จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์ คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์

ชวูชั่งหลายออกไปเป็นเวลานานยังมิกลับมา ผู้คนที่อยู่ในห้องนั้นพากันสงสัย เมื่อถามเสี่ยวเอ้อที่เข้ามารินชาจึงได้รู้ว่าต่งชูหลานและอาจารย์ฉินอยู่ด้านนอก

“เจ้าบอกว่า ฟู่เสี่ยวกวนแต่งกวีสดให้คุณหนูต่ง อีกทั้งยังได้รับคำชมจากอาจารย์ฉินงั้นหรือ?”

ผู้ที่ถามขึ้นคือ จางเหวินฮั่นลูกชายคนที่สองของจางเหลียง

ในมือเขาถือพัด สวมใส่ชุดขาว บัดนี้ลุกยืนขึ้นและขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

ผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลินเจียงทั้งสี่คน มีจางเหวินฮั่นเป็นผู้นำ ศักราชเซวียนลี่ที่เจ็ดได้รับคัดเลือกเข้าสอบเป็นจวี่เหริน ปีนี้ในเดือนเก้าเขาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ การเดินทางมาครั้งนี้หนึ่งเพื่อส่งต่งชูหลาน สองนั้นเพื่อที่จะเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับนาง

“คุณชาย คุณชายฟู่นั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ฉินจริง ท่านอาจารย์พูดชมถึงสามครั้งติดกัน ข้าน้อยคิดทบทวนดูก็คงจะดีจริง ๆ อีกอย่าง……อาจารย์ฉินนัดคุณชายฟู่ว่าหากมีเวลาว่างให้ไปหาที่สำนักศึกษาหลินเจียง ข้าน้อยมิได้พูดปด ท่านหัวหน้าตระกูลชวูก็อยู่ที่นั่นด้วย”

จางเหวินฮั่นกางพัดออกเบา ๆ พลางขมวดคิ้วและโบกพัดไปมาเบา ๆ “เจ้าไปได้แล้ว”

เขามิได้ร้อนใจออกไป แต่กลับนั่งลง ทำให้บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ด้วยล้วนประหลาดใจ คุณชายฟู่แห่งเมืองหลินเจียงนั้นเขารู้จัก แต่ทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน

อีกคนหนึ่งเป็นลูกเศรษฐี อีกคนหนึ่งคือผู้มีพรสวรรค์ พวกเขาเสมือนบุคคลที่อยู่คนละโลก คนละทางกัน

ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่จะสืบทอดตระกูลเป็นพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ ส่วนเขาจะเข้าไปรับราชการในวัง

เมื่อเดือนก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ก่อเรื่องไว้นั้นโด่งดังไปทั่วหลินเจียง เขาเองก็รู้ดี เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้เขายังยิ้มและพูดว่า “พวกคางคกขึ้นวอ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ! ”

จากนั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกองค์รักษ์ของต่งชูหลานทำร้าย เขาเองก็มิได้ประหลาดใจ เนื่องจากเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำนั้น ต่อให้ถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เขาเองก็มิได้ประหลาดใจ

แต่ตอนนี้ในใจเขาเกิดความข้องใจขึ้นมา

ต่งชูหลานปฏิบัติต่อฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้น แล้วเหตุใดพวกเขายังนั่งด้วยกันได้ อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนยังแต่งกวีให้แก่ต่งชูหลานด้วย

นี่จึงจะเป็นต้นตอของปัญหา

ระยะเวลาที่ต่งชูหลานอยู่ในเมืองหลินเจียงนี้ ตัวเขาเองได้พยายามอย่างมากในการอยู่เป็นเพื่อนนาง สำหรับนิสัยของนางนั้น เขาพอรู้อยู่บ้าง

นอกจากพรสวรรค์ที่น่าทึ่งของต่งชูหลานแล้วนั้น นางก็เป็นสตรีธรรมดาทั่วไปไม่ต่างจากสตรีนางอื่น มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่หมายปองของบรรดาบุรุษผู้มีความรู้

ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นนอกจากเงิน ก็มิได้มีอะไรดี

แต่วันนี้เขากลับแต่งกวีขึ้นมา!

อีกทั้งกวีบทนี้ยังได้รับคำชมจากอาจารย์ฉิน ซึ่งหมายความว่าเป็นกวีที่ดียิ่งนัก แต่คนที่เรียนไม่เก่งเช่นฟู่เสี่ยวกวน จะสามารถแต่งกวีเช่นนี้ได้เชียวหรือ?

แน่นอนว่าไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่

เขาคงรู้ว่าต่งชูหลานจะมาที่หอหลินเจียงเพื่อจัดงานเลี้ยง และรู้ว่านางกำลังจะออกเดินทางไปจากหลินเจียง จึงได้จัดเตรียมบทกวีไว้ให้นาง ชัดเจนว่าเขามิได้แต่งเอง

เขาใช้วิธีการเช่นนี้ต่อต่งชูหลาน ดังนั้นหมายความว่าเขามิได้ถอดใจไปจากต่งชูหลาน ชายผู้นี้……เจ้าเล่ห์เสียจริง!

เขายิ่งจะต้องเปิดโปงความจริงนี้ให้ได้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอับอายขายหน้า ทำให้ต่งชูหลานมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกต่อไป

เป็นพ่อค้าที่ดินอยู่ดี ๆไม่ชอบ อยากแกล้งเป็นคนมีความรู้!

จางเหวินฮั่นรวบรวมเหตุผล และคิดแผนการที่จะจัดการได้สำเร็จ เขากระซิบกับหลิวจิ่งหาง หนึ่งในผู้มีพรสวรรค์

……

……

“เป็นเช่นนี้ ท่านแม่ได้ก่อตั้งยวี๋ฝูจี้ หลังจากที่นางได้จากไป ธุรกิจของยวี๋ฝูจี้ก็แย่ลงเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการที่จะเห็น ดังนั้นจึงได้คิดค้นเหล้าขึ้นมา”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ปล่อยโอกาสในการโฆษณาเหล้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงฐานะของอาจารย์ฉิน

“เหล้าตลาดทั่วไปนั้นไม่ได้มาตรฐาน หรือพูดได้ว่าชาวบ้านรู้แค่ว่าเหล้านั้นมีกลิ่นหอม แต่ดีขนาดไหนไม่มีใครกำหนด ข้าจึงตั้งข้อกำหนดของเหล้าขึ้นมา เพื่อใช้จำแนกระดับ”

“โดยทั่วไปแล้วจะเรียกว่าปริมาณความเข้มข้น แต่พวกเราจะเรียกมันว่าดีกรี ก็คือ เช่นเหล้าที่ยวี๋ฝูจี้เคยขายและเหล้าที่ร้านรวงในเมืองขายนั้น มี 15 ดีกกรี ส่วนเหล้าเซียงเฉวียนนั้น 32 ดีกรี แต่เหล้าเทียนฉุนมีปริมาณถึง 42 ดีกรี ส่วนเหล้าที่คุณหนูต่งดื่มที่เรือนซีซานนั้น 48 ดีกรี”

“แน่นอนว่าเหล้าที่มีคุณภาพดีย่อมมีผลผลิตที่น้อยกว่า และใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มากกว่า เช่น เหล้าเซียงเฉวียนนั้น 1 ตำลึงมีต้นทุน 40 อีแปะ ส่วนเหล้าเทียนฉุนนั้นมีต้นทุนสูงกว่าถึงเท่าตัว” ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง

“แพงเช่นนี้เชียวหรือ?” อาจารย์ฉินขมวดคิ้วถาม

“หึหึ แม้จะมีราคาแพง แต่ข้ามั่นใจว่าใครที่ได้ดื่มเหล้าของข้าเข้าไปแล้ว จะไม่อยากดื่มเหล้าอื่นอีกเลย แต่แน่นอนว่าเหล้าของหยู๋ฝูจี้นั้นมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป เช่น เถ้าแก่ชวูหรืออาจารย์ฉิน อีกอย่างกำลังการผลิตของพวกเรานั้นก็ต่ำมาก ทางเราจะทำการตัดสินใจในภายหลัง แต่เหล้าเซียงฉุนนั้นกำหนดให้ซื้อได้วันละ 5 ตำลึงต่อหนึ่งคน ส่วนเหล้าเทียนฉุนนั้นกำหนดวันละ 3 ตำลึง”

ต่งชูหลานเมื่อฟังจบจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “มีเหตุผลที่มิให้ผู้ซื้อ ซื้อในปริมาณมากไหม?”

หากฟู่เสี่ยวกวนนั้นฉลาด เขาคงไม่เข้ามาเนื่องจากบทกวีนั้นเขาได้มอบให้ต่งชูหลานเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำตามแผนจนสำเร็จ และไม่มีความจำเป็นใดที่จะเข้ามาให้ผู้อื่นเยาะเย้ย

จางจือเช่อตบบ่าชวูชั่งหลาย แล้วยิ้มว่า “เหตุใดจึงต้องอารมณ์เสียด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ฟู่ต้ากวนคือผู้มีชื่อเสียง พวกท่านทั้งหลายในที่นี้คงเห็นตรงกัน ส่วนบุตรชายของเขานั้นก็มีชื่อเสียงในเมืองหลินเจียงเช่นกัน……เราไม่ควรเอ่ยถึงผู้อื่นลับหลัง พวกเรามาดื่มกันให้สนุก อย่าให้เสียบรรยากาศ”

หลังจากการดื่มด่ำอย่างสนุกสนาน หลิวจิ่งหางบุตรชายของหลิวยุ่นเฉิงก็เอ่ยด้วยความเมาว่า “ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้ ผู้มีความสามารถเช่นนั้น พวกเราไม่ควรไปคบค้าพูดคุยด้วย แต่เรื่องที่เขากระทำนั้นข้าก็ได้ยินมามาก แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาแต่งกวีได้ พวกท่านคิดดูเถิด ว่าคุณชายที่ชื่นชอบหอนางโลม และมีตำแหน่งซิ่วไฉ อีกทั้งได้ยินว่าใช้เงินซื้อมา อยู่ดี ๆ จะแต่งกวีขึ้นมาได้อย่างไร อีกทั้งยังได้รับคำชื่นชม เป็นไปไม่ได้เลย!”

“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายถึง……..”

“ข้าน้อยหมายถึง บทกวีที่เขามอบให้คุณหนูต่งนั้น……เขาอาจจะไหว้วานผู้อื่นประพันธ์ให้ เขาใช้วิธีนี้กับคุณหนูต่ง ช่างน่าลงโทษนัก……!”

คำพูดนี้หนักแน่น จางเหวินฮั่นโบกพัดของเขายิ้มอยู่ในใจ

อาจารย์ฉินและต่งชูหลานขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินหลิวจิ่งหางเอ่ยว่า “พวกท่านลองครุ่นคิดดูเถิด หากเขามีความสามารถจริง ๆ คงจะเข้ามาแต่งกวีให้พวกเราสักบท หนึ่งเพื่อปกป้องชื่อเสียงตน สองเพื่อให้พวกเราชื่นชม ช่างเป็นโอกาสดีนัก แต่เขากลับไม่เข้ามาด้วยเหตุใด? เนื่องจากในใจเขารู้ดี นอกจากคัดลอกกวีผู้อื่นแล้ว เขาคงทำอะไรไม่เป็น!”

ผู้อื่นเริ่มเห็นด้วยกับความเห็นของเขา

ต่งชูหลานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงได้หยิบกระดาษสองแผ่นออกมา

นางเอ่ยอย่างเรียบ ๆ ว่า “หากฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างที่ท่านเอ่ย เชิญพวกท่านทั้งหลายชมสิ่งนี้”

นางส่งไปให้หลิวจิ่งหาง แล้วเอ่ยว่า “กวีสองบทนี้ ฟู่เสียวกวนแต่งขึ้นในวันตวนอู่ พวกท่านทั้งหลายลองดูว่าเป็นเช่นไร”

จางเหวินฮั่นขมวดคิ้ว หลิวจิ่งหางรับกระดาษไป

“บทกวีทิศใต้·ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน

ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว

เมื่อเมฆจางหาย

เผยให้เห็นเสี้ยวหยกที่แดนไกล

จากกลมเป็นเสี้ยวมิได้เปลี่ยนแปลง

……

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)