นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1201

ลงจมูกลงไปในตอนที่น่าหลงใหลของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主), นิยายInternet ที่เขียนโดย Internet นิยายนี้มีเรื่องราวที่ซับซ้อน ความลึกลับและตัวละครที่ไม่ลืม นิยายนี้สัญญาว่าจะพาคุณผ่านการเดินทางของความตื่นเต้นและความเชื่อมั่นอันหลงใหล ไม่ว่าคุณจะปกติที่การที่รักความลึกลับหรือความอบอุ่นใจของเรื่องราวที่เข้าถึงจิตใจ Internet ได้ถักเสาะเสียงให้เป็นเรื่องราวที่จะยินตัวเองลงบนหน้าความทรงจำ สำรวจหน้ากระดาษของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ตั้งแต่ตอนที่ ตอนที่ 1201 การเดินทางเเสนทรหด และปล่อยให้เวทมนตร์บุบคลามไปด้วย

ตอนที่ 1201 การเดินทางเเสนทรหด

บทสนทนาบนรถไฟในวันนั้น ถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารในภายหลัง

นักประวัติศาสตร์รุ่นหลังต่างก็เห็นว่านี่คือสิ่งที่บ่งบอกถึงสติปัญญาที่เลิศล้ำเหนือผู้ใดของจักรพรรดิเเห่งต้าเซี่ย !

ฟู่เสี่ยวกวนจักรพรรดิเเห่งต้าเซี่ยเป็นผู้กล้าที่จะบุกเบิก ความเห็นของเขาทำให้เยี่ยนซีเหวินรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก นี่ก็คือการวางรากฐานพัฒนาต้าเซี่ยไปสู่สังคมอารยะในอนาคต

ความเห็นของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่ทราบโดยทั่วกันทั้งผืนปฐพีในสองสามปีให้หลัง คำเอ่ยของเขาเปรียบเสมือนเเสงสว่างที่ทะลายกรงขังจนแตกละเอียดเป็นฝุ่นผง

……

ขบวนรถไฟเคลื่อนตัวออกจากเมืองกวนหยุนไปยังเมืองฉางอัน นี่เป็นสัญลักษณ์การเริ่มต้นยุคสมัยใหม่ของต้าเซี่ย

ในขณะเดียวกันนั้นเอง คูฉานก็ได้เดินทางมาถึงภูเขาหิมะลูกยักษ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายในที่สุด

บัดนี้พระทั้งสามรูปและม้าหนึ่งตัวกำลังนั่งพักอยู่ใต้ภูเขาหิมะพร้อมกับเงยหน้ามองภูเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าแล้วฉีกยิ้มกว้าง “หงฝ่า… หงย่วน… ในที่สุดพวกเราก็มาถึงสักที”

พระสงฆ์ 2 รูปที่มีอายุราว 30 ปีพนมมือขึ้นมาพลางท่องอามิตตาพุทธ พวกเขาต่างก็เงยหน้ามองภูเขาหิมะด้วยความหวาดหวั่น “ใช่ ! การเดินทางเเสนทรหดนี้กินเวลานานถึงหนึ่งปี ในที่สุดก็มาถึงสักที”

คูฉานถือคทาเเล้วส่ายศีรษะเบา ๆ “ไม่ ! การเดินทางอันเเสนทรหดกำลังจะเริ่มขึ้นต่างหาก”

หงฝ่าผงะ “ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

คูฉานทอดสายตามองท้องทุ่งกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา “ที่นี่…พวกเรายังมิรู้ด้วยซ้ำว่าสถานการณ์ของที่นี่เป็นเยี่ยงไร ได้ยินมาว่าการตายของเฮ้อซานเตาทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วมากยิ่งนัก พระองค์ทรงรับสั่งให้ฆ่าล้างบางคนทั้งเมือง นี่ย่อมสร้างความพยาบาทให้แก่ชาวโมริยะมหันต์ พวกเราต้องนำพาให้พวกเขารอดพ้นจากความทุกข์และละจากความพยาบาท เพราะสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการใช้ชีวิตต่อไป นี่มิใช่เรื่องง่ายนัก”

คูฉานคาดเดาได้ตรงเผง

ตั้งแต่ที่ต้าเซี่ยสังหารหมู่ชาวเมืองปาฏลีบุตรและประหารชีวิตสมาชิกราชวงศ์ทุกคน ทำให้จักรวรรดิโมริยะสูญสิ้นผู้ปกครองประเทศ

ทุกวันนี้มีสงครามประทุขึ้นมาทุกหย่อมหญ้า พวกเขาต่างก็ใช้ความรุนแรงแก่งแย่งช่วงชิง ต่างก็มุ่งหวังที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่ของจักรวรรดิ

จักรวรรดิแห่งนี้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ อดีตเจ้าเมืองต่าง ๆ ได้ฉกฉวยโอกาสนี้เกณฑ์กำลังพลเพื่อแผ่ขยายอาณาเขตของตน

มิมีผู้ใดหันไปสนใจความทุกข์ยากของราษฎร มิคิดแม้จะชายตามองใบหน้าของราษฎรที่อดอยาก

ราษฎรอดอยากเจียนตาย พวกเขายังจะทำอันใดได้อีกกัน ?

พวกเขาต่างก็โกรธแค้นขุ่นเคือง ราษฎรที่ใกล้จะอดตายตอบสนองอย่างจนหนทาง พวกเขาก่อตั้งทหารชาวนาขึ้นมา จากนั้นก็เข้ายึดภูเขาเเล้วตั้งตนเป็นจักรพรรดิ

พวกคูฉานมิได้รับรู้ถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ พวกเขาออกเดินทางอีกครา เดินทางไปข้างหน้าอย่างไร้เป้าหมาย หวังเพียงว่าจะพบหมู่บ้านสักแห่งเพื่อหยุดพักสองเท้าที่เมื่อยล้า

หลายวันต่อจากนั้นพวกเขาได้เดินผ่านหมู่บ้านหลายเเห่ง ทว่าในหมู่บ้านกลับไร้เงาของผู้คน ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด แม้แต่แปลงนาก็รกร้างว่างเปล่า

ฟู่เสี่ยวกวนสังหารชาวโมริยะไปเท่าใดกัน ?

คูฉานลูบคทาแล้วมุ่งหน้าต่อไป

สิบวันหลังจากนั้น เขาก็ได้เดินทางมาถึงเทือกเขาไทเออร์ ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบชุมชนที่มีคนอาศัยอยู่สักที

พวกเขามุ่งหน้าเข้าไปในหมู่บ้าน และตรงทางเข้านั้นเอง พวกเขาได้พบกับหญิงสาวในชุดที่ขาดวิ่น

หญิงสาวผู้นี้มีอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี แก้มของนางทั้งซ้ายและขวามีคราบเขม่าถ่านเปรอะเปื้อน

นางเหน็บมีดสั้นเอาไว้ที่เอว ขณะนี้นางกำลังจ้องมองพวกของคูฉานพลันยัดนิ้วเข้าปากเพื่อเป่าเสียงหวีด

จากนั้นก็มีคนกลุ่มใหญ่วิ่งกรูกันออกมาจากเรือนซ่อมซ่อที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า พวกเขาได้เข้ามาล้อมรอบพวกคูฉาน

ราวกับว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นหัวหน้าของคนที่นี่ นางกำลังเอ่ยบางอย่างพลางชี้นิ้วมาที่พวกของคูฉาน จากนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินออกมา เขาชักดาบและพุ่งเข้าหาร่างของคูฉานอย่างดุร้าย

“อามิตตาพุทธ…”

คูฉานชูคทาในมือขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็ฟาดลงไป

“เพล้ง… ! ”

ดาบของชายหนุ่มร่วงหล่นส่งเสียงดังแสบแก้วหู เขาหยุดชะงักอย่างหวาดผวาเเล้วชูมือขึ้นมา ง่ามมือของเขาถูกฟันจนฉีกขาด โลหิตสีเเดงสดกำลังไหลทะลัก

คิ้วของหญิงสาวพลันขมวดมุ่น มือเรียวของนางโบกสะบัด จากนั้นทุกคนก็กรูกันเข้ามาตะลุมบอนผู้มาเยือน

“จะสังหารหรือไม่ ? ”

“มิสังหาร ! ”

มิสังหารก็มิได้หมายความว่าจะยื่นศีรษะไปให้ผู้อื่นเขาบั่นนี่ เช่นนั้นก็ต้องเผชิญหน้าต่อสู้กัน !

หงฝ่าและหงย่วนล้วนเป็นผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง แน่นอนว่าชาวบ้านที่ซูบผอมกระหร่องมิใช่คู่มือของพวกเขา

เพียงครู่เดียวก็มีคนล้มลงรายล้อมพวกเขาทั้งสามคน

เเต่ละคนต่างส่งเสียงครวญครางออกมา ทว่าก็มิมีผู้ใดตกตายเลยสักคนเดียว

หญิงสาวเบิกตาโพลง ในความประหลาดใจของนางมีความหวาดกลัวซ่อนอยู่ นางเป็นลูกสาวหัวหน้าโจรเล็ก ๆ เท่านั้น มิมีโอกาสได้เห็นคนที่มีฝีมือเก่งกาจเยี่ยงพวกของคูฉานมาก่อน !

ดูเหมือนว่าทั้งสามคนนี้จะเป็นชาวต้าเซี่ยสินะ !

แต่ชาวต้าเซี่ยมันเป็นอสูรกายที่สังหารมิเลือกหน้ามิใช่หรือ ?

เหตุใดพวกเขาถึงมิลงมือสังหารพวกตนเล่า ?

คูฉานพนมมือขึ้นมาอีกคราพร้อมเเสดงความเคารพต่อหญิงสาว…อามิตตาพุทธ

“นายหญิง อาตมาเดินทางมาจากต้าเซี่ย สิ่งที่นำมาด้วยในครานี้มิใช่การประหัตประหารและศึกสงคราม อาตมา…”

บัดนี้เขาถึงได้พบว่าตนมิอาจสื่อสารกับอีกฝ่ายได้

หญิงสาวนางนั้นยืนฟังตัวเเข็งทื่อ มิรู้ว่าเป็นเพราะฟังมิเข้าใจหรือเป็นเพราะกลัวกันแน่ เยี่ยงไรเสียนางก็เป็นเพียงเด็กคนหนึ่งเท่านั้น !

พวกเขาชี้ไม้ชี้มือสื่อสารกันอยู่พักใหญ่ หญิงสาวพอจะเข้าใจถึงสิ่งที่คูฉานสื่อออกมา ทว่านางกลับลังเลมิรู้ว่าควรพาพระจากต้าเซี่ยเข้าไปในหมู่บ้านหรือไม่

พระทั้งสามรูปนี้ช่างเก่งกาจเสียเหลือเกิน ท่านพ่อคงสู้พวกเขามิได้เป็นแน่

ถ้าเกิดทั้งสามมีเเผนการร้ายแอบแฝงเล่า…เกรงว่าทุกคนคงจะถูกพวกเขาสังหารเรียบ

แต่เมื่อนางลองคิดดูดี ๆ แล้ว คนพวกนี้เป็นพระ มิใช่พวกทหารชุดเกราะของต้าเซี่ยสักหน่อย หน้าตาก็ดูจิตใจดี และพวกเขาก็มิได้ลงมือสังหารพวกตนเลยสักคน ดูเหมือนว่าพวกเขามิชอบการฆ่าแกงสักเท่าใดนัก

ก่อนหน้านี้มิกี่วัน กองโจรที่ใหญ่กว่าซึ่งอาศัยอยู่ในเทือกเขาไทเออร์เช่นกันได้เข้ามาเจรจากับท่านพ่อในหมู่บ้าน พวกเขาเจรจากันอยู่นานสองนานว่าจะผนวกทั้งสองกองโจรเข้าด้วยกัน

ท่านพ่อรู้สึกลังเลใจมากยิ่งนัก เพราะอีกฝ่ายเป็นถึงอดีตชนชั้นสูงของจักรวรรดิโมริยะนามว่าทีไวตี้ เขามีกำลังพลอยู่ในมือสามพันกว่าคน ว่ากันว่าพวกเขาคือทหารโมริยะที่เคยถูกกองทัพต้าเซี่ยตีจนแตกกระเจิง

ถ้าหากทีไวตี้ส่งทหารออกมา แน่นอนว่าชาวบ้านในหมู่บ้านของของนางมิอาจรับมือกับพวกเขาได้

ท่านพ่อก็มิได้อยากไปร่วมทัพกับพวกเขาสักเท่าใดหรอก เพราะชาวบ้านที่ยากไร้เยี่ยงพวกตนคงจะถูกส่งไปเป็นวัตถุทางสงคราม

ถ้าหากพาผู้มีฝีมือทั้งสามเข้าไปในหมู่บ้าน หากพวกเขายินยอมที่จะคุ้มกันภัยให้แก่หมู่บ้าน เช่นนั้นทีไวตี้คงจะเข้ามาเขมือบหมู่บ้านมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง

ดังนั้น…นางจึงพาพวกคูฉานสามคนกับม้าหนึ่งตัวเข้าไปในเทือกเขาไทเออร์

หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น พวกเขาได้เดินเขาไปในภูเขาขนาดใหญ่ บัดนี้เดินไปถึงช่องแคบระหว่างหุบเขาแล้ว

ที่นั่นมีกระท่อมมากมายหลายหลัง หน้ากระท่อมมีเด็ก สตรี และคนชราร่างกายซูบผอมนั่งเรียงราย

พวกเขาจ้องมองพวกคูฉานด้วยสายตาหวาดกลัวราวกับเห็นศัตรู ยามที่คูฉานเดินผ่านกระท่อม ชายชราคนหนึ่งเดินกลับเข้าไปในกระท่อมแล้วถือหอกยาวสนิมเกรอะกรังพุ่งเข้าหาคูฉาน

“อันพิตาร์ เจ้าพาอสูรกายกลับมา ! ”

“ท่านปู่นายี หยุดประเดี๋ยวนี้นะ พวกเขามิได้มีเจตนาร้าย ! ”

ชายชราผู้มีนามว่านายีได้แทงหอกใส่คูฉานอย่างเหี้ยมโหด ทว่าคูฉานกลับยื่นมือออกไปคว้าหอกได้อย่างสบาย ๆ

เขาส่งยิ้มจริงใจ เเล้วเดินเข้าไปหานายีพลางท่องอามิตตาพุทธ เขาคืนหอกให้นายีเเล้วเดินหน้าต่อไป

อันพิต้าร์นำพวกเขาไปหาบิดาของนาง เชียร์ม่าร์ ผู้ใหญ่บ้านจ้องมองพวกคูฉานอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงอนุญาตให้พวกเขาพักในหมู่บ้านได้

คณะเดินทางของคูฉานจึงได้พำนักอยู่ในหมู่บ้านที่มีนามว่าซางปู

พวกเขาอาศัยอยู่ที่นั้นครึ่งปี พวกเขาได้เรียนรู้อักขระพื้นฐานของจักรวรรดิโมริยะ ทั้งยังสอนให้อันพิต้าร์อ่านอักขระของต้าเซี่ยอีกด้วย

พวกเขาทำงาน กินข้าว และใช้ชีวิตเยี่ยงชาวบ้านทุกอย่าง

พวกเขาคอยช่วยเหลือชาวบ้านยากไร้เหล่านั้น ช่วยพวกเขาสร้างบ้านจากซากปรักหักพังขึ้นมาใหม่ พวกเขาใช้ทักษะทางการเเพทย์ของต้าเซี่ยรักษาชีวิตคนไว้หลายต่อหลายคน ทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากชาวบ้านในหมู่บ้านซางปูในท้ายที่สุด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)