สรุปตอน ตอนที่ 1213 กองทหารอาสา – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 1213 กองทหารอาสา ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 1213 กองทหารอาสา
ฝนในฤดูหนาว ณ เมืองฉางอันทำให้ผู้คนหวั่นวิตก
บนเทือกเขาไทเออร์ที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้มีพายุหิมะโหมกระหน่ำ ทำคูฉานวิตกกังวลมิแพ้กัน
มิทันไรพวกเขาก็มาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว
พวกเขาสามคนได้ร่ำเรียนภาษาโมริยะจนคล่องแคล่ว ทั้งยังสอนภาษาและอักษรของต้าเซี่ยให้ทุกคนในหมู่บ้านซางปูเป็นการแลกเปลี่ยนอีกด้วย
ประชากรของหมู่บ้านซางปูมีด้วยกันทั้งสิ้น 863 คน ในจำนวนนี้มีชายหนุ่มเพียงแค่ 300 คน ส่วนอีก 500 คนที่เหลือล้วนเป็นคนชรา สตรีและเด็ก
เขารู้มาว่าบนเทือกเขาไทเออร์แห่งนี้มีกองโจรทั้งสิ้น 8 กองด้วยกัน และกองโจรที่ใหญ่ที่สุดก็คือกองโจรที่มีทีไวตี้เป็นหัวหน้านั่นเอง เขามีทหารในมือมากถึงสามพันกว่านาย ทั้งยังมีประชากรอีกพันกว่าคนที่คอยแบกรับภาระในการผลิตเสบียงมาเลี้ยงปากท้องในกองโจร
ทีไวตี้ได้เดินทางเข้ามาที่หมู่บ้านซางปูเมื่อครึ่งปีก่อนเพื่อเจรจาให้ผนวกรวมกับพวกตนทว่าก็มิเป็นผล และดูเหมือนว่าเขาจะลืมการมีอยู่ของหมู่บ้านไปเสียแล้ว เพราะเขามิได้เดินทางมาอีกเลย ว่ากันว่าเขาได้นำทหาร 3,000 นายไปตีเมืองเซนที่ตั้งอยู่ใกล้เทือกเขาไทเออร์มากที่สุด ทำให้ทีไวตี้ได้ขึ้นมาเป็นเจ้าเมืองของเมืองเซนในทุกวันนี้ และเขาก็ยังจ้องที่จะเขมือบเมืองเทียน่าซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าอีกด้วย
เขายังให้ราษฎรหนึ่งพันกว่าคนนั้นประจำอยู่บนเทือกเขาไทเออร์ตามเดิม ทั้งยังส่งทหารร้อยกว่านายเข้าไปคุ้มกันอีกด้วย ที่นั่นเป็นทางหนีทีไล่ของเขา เพราะเมืองเทียน่าเป็นเมืองทางตะวันตกซึ่งมีกำแพงสูงห้อมล้อม ด้านในมีชนชั้นนำอีกกลุ่มหนึ่งของจักรวรรดิโมริยะคอยประจำการอยู่ ซึ่งมีกำลังรบในระดับเดียวกันกับทีไวตี้
บัดนี้เชียร์ม่าหัวหน้าหมู่บ้านประจำหมู่บ้านซางปู มิอาจหวังพึ่งความช่วยเหลือจากทีไวตี้ได้อีกแล้ว เพราะเขาได้ย้ายออกไปอาศัยอยู่นอกเทือกเขาแล้ว ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ทีไวตี้คงกำลังนั่งกอดสตรีผิงไฟกินเนื้อย่างอย่างสบายอุรา ชีวิตของเขาสุขสบายแล้ว คงมิคิดที่จะเหลียวมามองกองโจรเล็ก ๆ นี้อีกต่อไป
บัดนี้หมู่บ้านซางปูขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ทำให้เมื่อวานมีคนหนาวตายไปแล้ว 2 คน และหนึ่งในนั้นก็คือชายชรานามว่านายีที่เคยมองเขาเป็นศัตรูมาก่อน
อันพิตาร์นั่งอยู่ข้างกายคูฉาน หญิงสาวนั่งขดตัวสองมือกอดเข่าเอาไว้แน่น พลางเงยหน้าขึ้นมองหิมะที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องนภา ร่างน้อย ๆ ของนางสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บ
นางอยากจะขยับเข้าไปชิดคูฉานมากกว่านี้ ทว่าคูฉานมักจะขยับออกห่างจากนางอยู่เสมอทั้งตั้งใจและมิได้ตั้งใจ
พี่ชายผู้นี้…จะบวชเป็นพระสงฆ์ไปตลอดชีวิตเลยหรือเยี่ยงไร ?
“พี่ชาย…พวกเราควรจะทำเยี่ยงไรดี ? ขืนรอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเกรงว่าคนชราและเด็กในหมู่บ้าน…อาจจะรอดชีวิตมาได้เพียงมิกี่คนเท่านั้น”
คูฉานพึมพำอามิตพุทธ เขารู้ดีว่าสิ่งที่อันพิต้าร์เอ่ยนั้นจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เว้นเสียแต่พวกเราจะคิดหาทางออกเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์
“ไปเถิด…พวกเราไปพบหัวหน้าหมู่บ้านกัน”
“ไปพบบิดาข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? พบเขาแล้วจะแก้ไขปัญหาอันใดได้กัน ? ”
“ไปพบเขา เพื่อโน้มน้าวเขา ถ้าอยากให้คนในหมู่บ้านอยู่รอดต่อไป…ก็จงส่งหมู่บ้านนี้มาให้อาตมาดูแลเสีย”
อันพิต้าร์ผงะ “ท่านสามารถทำให้ชาวบ้านพ้นจากความทุกข์ยากได้จริงหรือ ? ”
“ก็ต้องลองดู”
คูฉานจ้องมองหิมะที่ตกโปรยปรายด้านนอกแล้วพลันนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มสร้างชื่อเสียงที่ซีซานในเมืองหลินเจียง เขาเริ่มพัฒนาบ้านเมืองจากการค้าและการเกษตร แม้ตนจะมิสามารถเดินตามรอยเท้าของฟู่เสี่ยวกวนได้ทุกประการ ทว่าก็สามารถนำมาเป็นแนวทางได้ หากเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะรับมือเยี่ยงไรกันนะ ?
เขาย่อมมิรอความตายอยู่เฉย ๆ เป็นแน่ !
เขาจะต้องแย่งชิงอำนาจแล้วเริ่มทำสงคราม !
กองโจรบนเทือกเขาไทเออร์มีประชากรทั้งสิ้นสามถึงสี่หมื่นคน !
พวกเขากำลังเผชิญชะตากรรมมิต่างอันใดกับที่หมู่บ้านซางปูแห่งนี้ ต่างล้วนประสบปัญหาร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิต แท้ที่จริงพวกเขาต้องการเพียงแค่ผู้นำหนึ่งคนเท่านั้น
การทำสงครามจะก่อให้เกิดเหตุฆาตกรรมคราใหญ่ ทว่าพระพุทธองค์จะต้องให้อภัยตน เพราะที่ตนลงมือสังหารคนก็เพื่อที่จะช่วยชีวิตคนหมู่มากเอาไว้
เขาให้อันพิตาร์นำทางไปที่เรือนของเชียร์ม่า เขาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามกว่าจะเกลี้ยกล่อมเชียร์ม่าได้สำเร็จ
เขานำกองทัพทหารหกพันนายออกเดินทางอีกครา เพราะอยู่ในภูเขาก็มีแต่จะอดตาย และเขาต้องการฐานที่มั่น ซึ่งที่นั่นก็คือเมืองการ์แลนด์นั่นเอง
เมืองการ์แลนด์มีขนาดมิใหญ่มากนัก ทั้งยังตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล ทว่าสำหรับคูฉานแล้วเขาเห็นว่าสถานที่แห่งนั้นมีชัยภูมิเหมาะที่จะตั้งเป็นฐานที่มั่นอย่างยิ่ง
เมื่อยึดครองเมืองนั้นมาได้แล้ว ตัวเมืองนั้นมีที่ดินอุดมสมบูรณ์ล้อมรอบ ครานี้เด็กและสตรีในเทือกเขาก็จะได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอกสักที และเพื่อเพาะปลูกเสบียงเตรียมไว้ให้กองทัพบัญชาสวรรค์ได้ออกรบคราต่อไป
เมื่อเขารับกองโจรอื่นเข้ามาเป็นพวกของตน เขาก็มิลืมที่จะให้การศึกษาแก่พวกเขา
เขาเริ่มโดยการถ่ายทอดตัวอักษรของต้าเซี่ยให้ทหารของตน ทั้งยังได้กำหนดกฎเกณฑ์ให้กองทัพบัญชาสวรรค์อีกด้วย โดยระเบียบทางการทหารทั้งหมดคล้ายคลึงกับกฎระเบียบของกองทัพดาบเทวะ เพียงแต่เขามิมีเวลามากพอที่จะฝึกทหารของตนตามแบบการฝึกของกองทัพดาบเทวะ
“รอให้พวกเรายึดครองเมืองการ์แลนด์มาได้แล้วค่อยว่ากัน ! ”
“พวกเจ้าทุกคนจงจำเอาไว้ว่ากองทัพบัญชาสวรรค์มิใช่กองโจร ! พวกเราเกิดขึ้นจากอาณัติแห่งสวรรค์ พวกเรามีความมุ่งมั่นที่จะฟื้นคืนประเทศนี้ขึ้นมาอีกครา พวกเรามีความมุ่งมั่นที่จะทำให้ราษฎรในประเทศมีความมั่นคง มีสุขภาพแข็งแรงและมีชีวิตที่สงบสุข ! ”
“นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น พวกเรายังต้องใช้เวลาอีกมากเพื่อปฏิบัติภารกิจอันหนักหนานี้ให้สำเร็จ ! ”
แม้คำเอ่ยของเขาจะฟังดูสวยหรู ทว่าเหล่าทหารที่เป็นพวกป่าเถื่อนฟังเข้าใจเสียที่ไหนกัน พวกเขาเพียงรู้สึกว่าอุดมการณ์ของผู้นำนั้นยิ่งใหญ่ ทว่าบัดนี้สิ่งที่พวกเขาต้องการก็คือขอแค่มีข้าวให้กินเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น
และปัญหาที่คูฉานจะต้องแก้ไขต่อจากนี้ก็คือปัญหาเรื่องปากท้อง
กองทัพบัญชาสวรรค์เดินทัพออกจากเทือกเขาไทเออร์ไปยังเมืองการ์แลนด์
และในขณะเดียวกันก็มีกองคาราวานสินค้าลึกลับจากต้าเซี่ยข้ามภูเขาหิมะสูงเสียดเมฆาเข้ามา
แน่นอนว่าเมืองแรกที่พวกเขาเข้ามาเหยียบบนจักรวรรดิโมริยะก็คือเมืองการ์แลนด์นั่นเอง
หญิงชราในชุดดำเงยหน้ามองภูเขาหิมะสูงใหญ่ท่ามกลางเสียงดังหวีดหวิวของลมหนาว นางยกยิ้มออกมา เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงสวยเป็นระเบียบ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)