นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1214

สรุปบท ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 1214 การเปลี่ยนเเปลง

ในที่สุดฝนฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกปานจะคร่าชีวิตผู้คนก็หยุดลงเสียที

สุริยาโผล่พ้นขอบฟ้าอีกครา หลังจากที่เมืองฉางอันถูกสายฝนชะล้างมานานหลายวัน มันก็ได้เผยโฉมสะอาดเอี่ยมออกมา ทั้งยังมีเเสงสุริยาคอยสาดส่อง

สวี่หยุนชิงตื่นนอนตั้งแต่เช้าตรู่ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้ว นางก็ออกมากินอาหารเช้าที่หูฉินเป็นคนทำ “ยามอยู่ที่หงซิ่วจาว ข้ามิเคยเห็นเจ้าทำอาหารเลยสักครา”

“เมื่อก่อนข้าก็มิเคยเห็นเจ้าตื่นแต่เช้าเช่นนี้เหมือนกัน” หูฉินเอ่ยขณะปอกเปลือกไข่

สวี่หยุนชิงผงะเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้ากินข้าวต้มต่อไป “ก็ใช่น่ะสิ ! สามสิบปีก่อนนอนมิตื่น สามสิบปีหลังกลับนอนมิหลับ จะว่าไปพวกเราก็แก่ตัวกันแล้วสินะ”

“จริงสิ ! จี้หยุนกุยไปที่ใดแล้วเล่า ? นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว เหตุใดเขายังมิกลับมาอีกกัน ? ”

“ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน เขาบอกว่านี่คือกฎ…คงมีเพียงบุตรชายของเจ้าเท่านั้นแหละที่ทราบว่าเขาอยู่ที่ใด”

หูฉินวางไข่ที่ปอกเสร็จแล้วใส่ชามของสวี่หยุนชิง “วันนี้มีแสงสุริยาโพล่มาให้เห็นเเล้ว เมืองฉางอันที่โอ่อ่านี้เป็นเมืองที่ลูกชายของเจ้าใช้เวลาก่อสร้างมานานหลายปี อีกประเดี๋ยวออกไปเที่ยวชมสักหน่อยดีหรือไม่ ? จะว่าไปแล้วข้าอยู่ที่นี่มาราวครึ่งปีแล้วทว่ายังมิเคยไปเที่ยวชมเมืองเลยสักครา”

“ประพันธ์ทำนองบทกวีร่ำสุราให้เสร็จก่อนดีหรือไม่”

หูฉินเคี้ยวไข่ไก่พลางนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน “ข้ามิได้แตะเครื่องดนตรีมานานมากแล้ว”

“มิเห็นเป็นไรเลย นี่เป็นบทกวีที่ลูกชายของข้าประพันธ์ขึ้นมาเชียว กวีบทนี้เป็นเลิศในทุกด้าน เยี่ยงไรเจ้าก็สามารถประพันธ์ทำนองให้ไพเราะได้อยู่แล้ว”

“เจ้ามิคิดจะเข้าไปดูในพระราชวังสักหน่อยหรือ ? แอบเข้าไปดูสักหน่อยก็ยังดีมิใช่หรือ ! ”

“…ข้ากลัวว่าเมื่อข้าเข้าไปแล้วข้าอยากจะอยู่ที่วังขึ้นมาน่ะสิ ทว่าข้ามิอาจอยู่ที่นั่นได้ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ข้าจำต้องกลับไปยังสำนักเต๋าอีกครา”

“ชายอ้วนอยู่ที่สำนักเต๋ามิใช่หรือ ? ”

“พวกเราตกลงกันแล้วว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน เขาจะย้ายศิษย์เหล่านั้นไปยังสำนักเต๋าที่ภูเขาหนานซาน”

“แล้วศิษย์คนอื่น ๆ เล่า ? พวกซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ…”

“พวกเขาต่างกระจายกันไปคนละทิศละทาง ลัทธิเต๋า…ลัทธิเต๋าจะขยายใหญ่ขึ้นแล้ว ที่ข้ามาเยือนเมืองฉางอันครานี้ ข้าถือโอกาสมาดูที่ดูทางด้วยน่ะ ข้าอยากหาสถานที่ที่เหมาะสมแล้วสร้างสำนักเต๋าขึ้นมาในเมืองฉางอันสักแห่ง”

หูฉินมิได้เอ่ยอันใดต่อ นางกินไข่ต้มพลางซดข้าวต้มร้อน ๆ แล้วยังกินซาลาเปาเข้าไปอีกหนึ่งลูก จากนั้นก็จัดการเก็บถ้วยชามทั้งสองจึงเดินกลับเข้าไปในเรือนหลัก

ในเรือนด้านข้างเรือนหลักมีกู่ฉินที่ฝุ่นจับเกรอะกรังวางอยู่ นางหยิบกู่ฉินขึ้นมาพลางบรรจงเช็ด จากนั้นก็ยกขึ้นมาอย่างละเมียดละมัย “บทกวีร่ำสุรามีจังหวะขึ้นลงสลับซับซ้อน การประพันธ์ทำนองจึงเป็นสิ่งที่มิง่ายนัก และที่สำคัญข้ามิเคยมีความรู้สึกหาญห้าวเหมือนในบทกวีมาก่อน ทั้งยังมิเคยมีความสุขแบบเปี่ยมล้นเหมือนท่อนที่ว่า…อย่าปล่อยให้จอกสุราทองว่างเปล่าต่อหน้าจันทรา”

“เมื่อคืนข้าคิดตลอดทั้งคืน เหมือนกับชีวิตมิได้มีความหมายอันใดเลย ดังนั้นข้าจึงมิมีความสุขแบบเต็มที่เลยสักครา”

“และท่อนที่ว่าม้าห้าดอก เสื้อหนังล้ำค่าตัวนี้ จงบอกบุตรเจ้านำสิ่งเหล่านี้ไปแลกสุราชั้นดี มาดื่มร่วมกันกับพวกเจ้าให้ลืมความเศร้าไปชั่วนิรันดร์…ก็ราวกับว่าข้ามิเคยมีความทุกข์ถึงเพียงนั้นมาก่อน ข้าก็มิรู้เช่นกันว่าบุตรชายของเจ้าที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ทุกข์ระทมถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไร”

“เช่นนั้นแล้ว…”

นางดีดฉินสองสามครา จากนั้นก็หันไปมองสวี่หยุนชิง “มิใช่ว่าข้าอยากจะปฏิเสธหรงตั๋วเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะเมื่อข้าเห็นกวีบทนี้แล้วข้าประพันธ์ทำนองมิได้จริง ๆ หยุนชิง…ข้าประพันธ์ทำนองให้กวีบทนี้มิได้ อย่างน้อยบัดนี้ข้าก็ยังมิรู้จะจับต้นชนปลายเยี่ยงไร”

สวี่หยุนชิงครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน “เช่นนั้นก็ช่างมันก่อนเถิด พวกเราไปเที่ยวชมเมืองฉางอันกัน”

……

……

ยามสายของวันใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดลำลองพาหนิงซือเหยียนและหลิวจิ่นเดินทางมาที่ตำหนักเย่หยาง

เขาคิดว่าเมื่อคืนเหล่าชายชราต่างก็สนทนากันจนดึกดื่น วันนี้พวกเขาจะต้องตื่นสายเป็นแน่ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อย่ำเท้าเข้าไปในเรือนหลักของตำหนักเย่หยาง พวกเขากลับนั่งล้อมวงดื่มชายามเช้าหน้าเตาผิงเรียบร้อยแล้ว

จ้าวโฮ่วรีบปรี่เข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามเขาว่า “ทานมื้อเช้ากันแล้วหรือ ? ”

“ทูลฝ่าบาท ทานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปพร้อมกับกล่าวทักทายทุกคน จากนั้นก็นั่งลง

“ที่เชิญทุกท่านมายังเมืองฉางอันในครานี้เป็นเพราะข้ารีบร้อนไปหน่อย คาดมิถึงว่าฤดูหนาวที่เมืองฉางอันกับที่เมืองจินหลิงจะแตกต่างกันถึงเพียงนี้ ทุกท่านพำนักที่นี่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? อากาศหนาวเกินไปหรือไม่ ? ข้ากลัวว่าพวกท่านจะมิคุ้นชินกับที่นี่เลยตั้งใจทำครัวขึ้นมาในตำหนักเเห่งนี้ หากพวกท่านอยากกินอันใดก็จงบอกกับจ้าวโฮ่วเถิด เขามีหน้าที่ดูแลพวกท่านโดยเฉพาะ”

เยี่ยนเป่ยซีลูบเครายาวพลางเอ่ยว่า “ที่นี่ใช้ได้เลยทีเดียว มิได้หนาวถึงเพียงนั้นหรอก เมื่อครู่พวกกระหม่อมได้หารือกันว่าในเมื่อเมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงของต้าเซี่ยในทุกวันนี้ เยี่ยงไรก็ต้องออกไปเที่ยวชมเมืองสักหน่อย…”

“ฝ่าบาทเพียงเตรียมรถม้าสักสองสามคันก็พอ มิต้องสร้างความลำบากให้กับผู้ใดหรอกและก็มิจำเป็นต้องไปรบกวนผู้ใดด้วย ฝ่าบาทไปทำงานของพระองค์เถิด พวกเราจะไปเที่ยวชมเมืองกันเอง”

“ได้สิ ! เมืองฉางอันนั้นมีขนาดใหญ่โต ใหญ่ยิ่งกว่าเมืองจินหลิงเสียอีก มิต้องเที่ยวชมให้หมดในคราเดียวจนร่างกายเหนื่อยล้าหรอก เพราะยังมีเวลาอีกมากโข”

เมื่อเอ่ยจบ เขาก็หันไปสั่งการกับหลิวจิ่นว่า “ไปเตรียมรถม้าสักสองสามคัน เตรียมเตาผิงเอาไว้บนรถม้าและจงปูพรมขนสัตว์ไว้บนรถม้าด้วย เมื่อเตรียมเสร็จแล้วค่อยมารายงานข้า”

หลิวจิ่นโค้งคำนับแล้วเดินจากไป คู่สามีภรรยาตระกูลต่งจ้องมองบุตรเขยอย่างเบิกบาน พวกเขาต่างย้อนนึกถึงเรื่องราวเมื่อปีนั้นที่เมืองจินหลิงตอนที่เจ้าหมอนี่ปืนกำแพงเข้ามาพาตัวต่งชูหลานออกไปเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มสาว

ผู้ใดเล่าจะคาดคิดว่าเขาจะกลายเป็นจักรพรรดิของต้าเซี่ยในวันนี้ !

1ไท่ฟู่ คือ อาจารย์ของจักรพรรดิ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)