นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 1232

สรุปบท ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 1232 พ่อกับลูก

“เสด็จพ่อ เหตุใดท่านกับเหล่าเสนาบดี…ดูเหมือนจะมิมีระยะห่างระหว่างกันเลยเล่าพ่ะย่ะค่ะ ? ”

เมื่อกลับถึงห้องทรงพระอักษรเทียนซื่อก็ได้เอ่ยถามสิ่งที่ค้างคาใจออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนส่งยิ้มเเล้วชี้ไปที่เก้าอี้ “มา…นั่งลงก่อนแล้วค่อยสนทนา”

“ลูก…ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองอู๋เทียนซื่อ ทว่าเขากลับก้มหน้าหลบ ทั้งยังเผยสีหน้าหวาดกลัวให้เห็น ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกใจหายวาบ ดูเหมือนตนจะเป็นพ่อที่เหินห่างและน่าเกรงขามเกินไปแล้ว

“เทียนซื่อเอ๋ย”

“พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“เจ้าเป็นบุตรชายของข้า ข้าจำได้ว่าคราหนึ่งข้าเคยเอ่ยให้พวกเจ้าฟังว่า ข้าหวังให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราพ่อลูกเป็นดั่งความสัมพันธ์ระหว่างมิตรสหาย ข้าเป็นพ่อของเจ้าก็จริง ทว่าพวกเราสองพ่อลูกสามารถปฏิบัติต่อกันอย่างเสมอภาคได้”

“เจ้ามิได้ทำผิดอันใดผิดสักหน่อย มิต้องระมัดระวังตัวมากถึงเพียงนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าข้า อีกอย่างเจ้าควรทำตัวให้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้ต่อหน้าเสนาบดีทั้งหลาย”

“หรือต่อให้เจ้าทำผิดก็มิเป็นอันใดหรอก เจ้าคือมนุษย์มิใช่เทพเจ้าสักหน่อยถึงมิเคยทำผิด หากทำผิดก็จงแก้ไขเสีย หากมิได้ทำผิดก็จงมั่นใจเข้าไว้”

“นั่งลงเถิด”

อู๋เทียนซื่อยืนแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงอย่างระมัดระวังสุด ๆ แต่ก็นั่งแค่พอก้นแตะขอบเก้าอี้เท่านั้น

ฟู่เสี่ยวกวนตระหนักได้ในทันทีว่าตนได้ตัดสินใจผิดพลาดไปที่เลือกเหวินสิงโจวมาเป็นอาจารย์บ่มเพาะวิชาให้กับเขา แม้ว่าเหวินสิงโจวจะเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ทว่าเขาก็เป็นผู้ที่ยึดในลำดับชั้นทางสังคมอย่างเข้มงวด

เขาอายุ 80 ปีแล้ว เขาคงมิเคยสัมผัสกับเสนาบดีหนุ่มที่เพิ่งเข้ามารับราชการในช่วงมิกี่ปีนี้ หรือต่อให้เขาเคยสัมผัส ทว่าก็คงมิอาจเปลี่ยนความคิดที่หยั่งรากฝังลึกนั้นได้อยู่ดี

ดังนั้นองค์ชายจึงรักษาระยะห่างระหว่างตนอยู่เสมอ แม้ว่าจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในวังหลังก็ตาม

นั่นมิใช่เพราะลูก ๆ มิสนิทกับตน แต่เป็นเพราะพวกเขาได้รับการปลูกฝังมาเเบบนี้

หรือเป็นเพราะบุคลิกของอู๋เทียนซื่อเป็นปัญหา ?

เขาเป็นเด็กขี้กลัวและสุขุมเยี่ยงนั้นหรือ ?

อาจจะมิใช่เช่นนั้น

เป็นเพราะเขายึดถือตามขนบธรรมเนียมที่เหวินสิงโจวอบรมมาต่างหาก ถ้าหากยึดตามสังคมศักดินา เขาก็มิได้ทำผิดแต่อย่างใด

หรือต่อให้เขากลายเป็นองค์รัชทายาทแล้วก็ตาม เขายังต้องรักษากฎเช่นนี้ต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเสมอ

ทว่านี่เป็นกฎที่ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด

“ที่เจ้าเพิ่งถามข้าว่าเหตุใดระหว่างข้าและขุนนางถึงมิมีระยะห่างระหว่างกันเลย นี่เป็นคำถามที่ดีมากยิ่งนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนลงมือต้มชา “ระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง ระหว่างจักรพรรดิและราษฎรควรมีความสัมพันธ์กันเยี่ยงไร ? มีความสัมพันธ์เป็นดั่งน้ำกับเรือเยี่ยงไรเล่า น้ำทำให้เรือล่องได้ฉันใด มันก็สามารถทำให้เรือคว่ำได้ฉันนั้น เจ้าอาจจะเคยเรียนสัจธรรมข้อนี้มาก่อน ทว่าจำต้องสัมผัสด้วยตนเองถึงจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง”

“ในตำราเมิ่งจื่อของจักรพรรดิและขุนนางได้กล่าวเอาไว้ว่า เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งเเขนขา ขุนนางนั้นมองพระองค์เป็นดั่งคนสนิท เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งม้ารับใช้ ขุนนางก็จะมองพระองค์เป็นดั่งสหายร่วมชาติ เมื่อจักรพรรดิมองขุนนางเป็นดั่งเศษดิน ขุนนางย่อมมองพระองค์เป็นดั่งศัตรู”

“เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิและขุนนางจึงมิใช่การกดขี่ ทว่ามันคือการมองพวกเขาอย่างเท่าเทียม มองเหมือนแขนขา เหมือนพี่เหมือนน้อง”

“หากเขามองข้าเป็นสามัญชน ข้าก็จะตอบแทนเขาในฐานะสามัญชน หากมองข้าเป็นวีรบุรุษ ข้าก็จะตอบแทนเขาในฐานะวีรบุรุษ ! นี่เป็นสิ่งที่ราษฎรส่วนใหญ่คิด แล้วประโยคที่ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไรน่ะหรือ ? ”

“ความหมายของมันก็คือถ้าหากจักรพรรดิปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงปุถุชน ข้าก็จะตอบแทนพระองค์เยี่ยงปุถุชนคนธรรมดา ถ้าหากจักรพรรดิตอบแทนข้าในฐานะของเสาหลักของประเทศ ข้าก็จะอุทิศตนให้สมกับที่เสาหลักของประเทศพึงกระทำ”

“นี่แหละหัวใจของมนุษย์ ! ”

“แล้วต้องทำเยี่ยงไรถึงจะได้ใจคน ? วิธีที่ดีที่สุดก็คือใช้ใจแลกใจ”

“ข้ามิคิดว่าตนเองเป็นจักรพรรดิของต้าเซี่ยมาก่อน และข้าก็มิเคยมองพวกเขาเป็นขุนนางของข้า ข้ามองเขาเป็นมิตรสหาย ลึก ๆ ในใจของพวกเขาก็เห็นข้าเป็นมิตรสหายเช่นเดียวกัน”

“เพราะมิตรสหายสามารถสนทนากันได้อย่างจริงใจ มิมีความลับต่อกัน ดังนั้นพวกเขาจะกล้าวิจารณ์ออกมาตรง ๆ กล้าที่จะชี้แนะปัญหาในตัวข้าหรือปัญหาของบ้านเมืองอย่างมิหวาดกลัว”

“สมุดบัญชีของกรมคลังที่มอบให้เจ้าในวันนี้ พ่อหวังว่าเจ้าจะอ่านจบในหนึ่งเดือนนี้และบททดสอบแรกของพ่อก็คือ…ให้เจ้าไปคิดมาว่าพวกเราจะขยายแหล่งรายได้เยี่ยงไร ! ”

อู๋เทียนซื่อพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “พ่ะย่ะค่ะ ลูกจะตั้งใจศึกษาสมุดบัญชีนี้ให้ดี แล้วจะมาตอบคำถามของเสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ”

“เอาล่ะ เจ้ากลับไปเถิด ช่วยบอกเสด็จแม่ของเจ้าด้วยว่าวันนี้ข้าจะกลับไปทานข้าวกับนาง ! ”

“พ่ะย่ะค่ะ ลูกขอทูลลา ! ”

อู๋เทียนซื่อหอบสมุดบัญชีเดินออกไป !

จากนั้นก็มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากฉากกั้นในห้องทรงพระอักษร ซึ่งเขาผู้นั้นก็คือจัวอีสิงนั่นเอง !

“สิ่งที่ฝ่าบาทเอ่ยไปทั้งหมดมันลึกซึ้งเกินไปหรือไม่ เพราะเยี่ยงไรเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง”

“ถ้าหากเขายังมิเข้าใจในตอนนี้ เขาก็จะจดจำเอาไว้ในใจ ต้องมีสักวันที่เขาสามารถเข้าใจได้ด้วยตนเอง เชิญนั่งลงเถิด ! ”

จัวอีสิงถวายความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงนั่งลง

“แท้ที่จริงกระหม่อมคิดมาโดยตลอดว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งฟู่อี้อันโอรสของจักรพรรดินีเป็นองค์รัชทายาท”

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มกว้างพร้อมกับรินชาให้จัวอีสิง “อี้อันนามนี้เป็นนามที่ลุงสี่ของเขาตั้งให้ ซึ่งก็คือ…หยูเวิ่นชู”

“ตอนนั้นเขาบอกว่าข้ามีครอบครัวและธุรกิจใหญ่โต ลูกชายคนโตต้องสงบ ลูกชายคนอื่น ๆ ถึงจะสงบตามมา… ตอนนั้นข้ายังมิรู้ด้วยซ้ำว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ให้กำเนิดเทียนซื่อ”

“เจ้ามิต้องขอบใจข้าเรื่องการสืบราชบัลลังก์หรอก เพราะเทียนซื่อก็เป็นบุตรของข้าเช่นกัน แต่สิ่งที่ข้าหวังก็คือ…”

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองจัวอีสิง แล้วเอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “ข้าหวังให้การสืบทอดราชบัลลังก์ผ่านไปอย่างราบรื่น เพราะเรื่องชาติบ้านเมืองก็ถือเป็นเรื่องของครอบครัวข้าด้วยเช่นกัน ! ”

“ข้าจะพาองค์ชายที่เหลือออกไปจากต้าเซี่ย หากข้าต้องประสบกับอุบัติเหตุอย่างมิคาดฝัน…ข้าหวังว่าจะมิเกิดคดีนองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ขึ้นมาอีกเป็นคราที่สอง ! ”

จัวอีสิงลังเลอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยออกมาว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)