ตอนที่ 1355 พระคาร์นิดัล
มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านข้างของอาคารสองชั้น
เป็นชายชราที่แก่หง่อม
เขาสวมชุดคลุมสีดำทะมึน บนใบหน้ามีผ้าคลุมสีดำ ส่วนบนศีรษะของเขาสวมหมวกทรงกรวย
เรือนร่างของเขาห่อหุ้มด้วยอาภารณ์สีดำ มีเพียงแค่ดวงตาสีเทาคู่หนึ่งเท่านั้นที่โผล่พ้นออกมาให้เห็น มือที่แห้งเหี่ยวคู่นั้นถือคทาสีทองเอาไว้
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองหันร่างกลับไปมองชายชราผู้นั้นแล้วโค้งคารวะ “สวัสดีท่านพระคาร์นิดัล1 ! ”
“องค์ราชินีที่เคารพ ข้ามองเห็นความขุ่นมัวในใจของท่าน”
บาทหลวงเดินมาเบื้องหน้าโต๊ะหนังสือ วางคทาสีทองพิงโต๊ะเอาไว้ จากนั้นก็หันไปกวักมือเรียกสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สอง “มานี่ นั่งลงเถิด ข้าจำต้องบอกบางอย่างให้ท่านได้ทราบ”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองชะงักลงเล็กน้อย พระคาร์นิดัลเป็นผู้มอบหนังสือศิลปะการทำนายเล่มนั้นให้แก่นาง ทว่าท่านมิได้ถ่ายทอดอันใดให้นางเลย
ช่วงเวลาหลายปีมานี้ หลายคำทำนายของนางล้วนมาจากหนังสือเล่มนี้
ในนั้นมีตัวอักษรและมีรูปเช่นเดียวกัน นางต้องอ่านตัวอักษรและลองพิจารณารูปภาพเหล่านั้น หลังจากนั้นก็ใคร่ครวญ ในขณะที่ใคร่ครวญก็ต้องมองหาความเชื่อมโยงระหว่างตัวอักษรและภาพนั้น หลังจากนั้นค่อยทำการทำนาย
หนังสือศิลปะการทำนาย มิใช่ตัวอักษรของยุโรป มิมีผู้ใดทราบว่ามันคือตัวอักษรอันใด ทว่าสมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองก็สามารถอ่านตัวอักษรพวกนี้ออกโดยที่มิต้องศึกษาร่ำเรียน
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสิบสองปีก่อน
นางรู้สึกราวกับว่าได้รับการชี้นำพิเศษจากพระเจ้าตั้งแต่คราแรกเมื่อเข้ามายังอาคารไม้หลังนี้ นางหยิบหนังสือเล่มที่มีฝุ่นเขรอะเล่มนี้มาจากชั้นวาง จากนั้นนางก็อ่านหนังสือเล่มนี้อยู่ในอาคารไม้หลังนี้ถึงสามวันสามคืนด้วยกัน
และตั้งแต่ตอนนั้นนางก็ได้กลายเป็นศิษย์ของพระคาร์นิดัลท่านนี้
การแต่งกายของพระคาร์นิดัลท่านนี้เมื่อสิบสองปีก่อนเป็นเยี่ยงไร ปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น
เพียงแต่ว่าเรี่ยวแรงในสายตาคู่นั้นได้เหือดหายไป และมือคู่นั้นก็แห้งเหี่ยวราวกับอยู่ในฤดูหนาว
“สิบหกปีก่อนฝูหล่างจีได้ริเริ่มเคลื่อนไหวด้านการเดินเรืออย่างอึกทึกคึกโครม”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองนั่งอยู่เบื้องหน้าพระคาร์นิดัล และพระคาร์นิดัลเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในอดีต เขาพึมพำต่อว่า
“ตอนนั้นข้าอายุเพียง 26 ปี เป็นนักเรียนดีเด่นในนครรัฐวาติกันแห่งฝูหล่างจี… และแน่นอนว่าตอนนั้นพระสันตะปาปาคือลุงแท้ ๆ ของข้าเอง ข้าได้เป็นตัวแทนรัฐวาติกันเข้าร่วมการเดินเรือคราแรกของฝูหล่างจี”
“มิมีแผนที่เดินเรือ และมิมีผู้ใดทราบว่ามหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้สิ้นสุดลงที่ใด”
พวกเราล่องเรืออยู่กลางมหาสมุทรหนึ่งปีเต็มผ่านพายุและผ่านวิกฤตโรคระบาด… มีผู้คนมากมายตกตายระหว่างการเดินทางครานั้น และมีผู้คนมากมายยอมแพ้ ทว่าเรือก็ไปต่อในท้ายที่สุดด้วยความยืนหยัดและตั้งมั่นของข้า
“ข้าก็มิทราบเช่นกันว่าเหตุใดถึงได้ยืนหยัดและตั้งมั่นแบบนั้น ทว่าบัดนี้เมื่อกลับมาคิดดูแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะใจที่มันถวิลหาดินแดนแห่งใหม่”
“พวกเราล่องเรือขึ้นเหนือ ผ่านความลำบากที่ยากจะจินตนาการถึงและก็ผิดหวังในท้ายที่สุด กระสุนและเสบียงของพวกเราหมดลง พวกเรา…เริ่มกินศพของสหายร่วมทางเพื่อความอยู่รอด”
สมเด็จพระราชินีมารีอาที่สองเบิกตาสีฟ้าคู่งามกว้าง นางจ้องมองบาทหลวงด้วยสายตาที่มิอยากจะเชื่อ ผ้าปิดหน้าของบาทหลวงขยับเล็กน้อย มิทราบว่าเขากำลังหัวเราะเยาะหรือว่ากำลังถอนหายใจอยู่กันแน่
“ตอนออกเดินทาง พวกเรามีกันทั้งสิ้น 16 ลำ ทว่าหนึ่งปีหลังจากนั้นกลับเหลือเพียงแค่เรือของพวกเราลำเดียว”
“ตอนออกเดินทางเรือทั้งสิบหกลำมีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งสิ้น 2,372 คน หนึ่งปีให้หลัง…เรือที่พวกเราแล่นไปนั้นเหลือผู้ร่วมชะตากรรมเพียงแค่ 37 คนเท่านั้นที่มีชีวิตรอดกลับมาได้”
“เมื่อสหายร่วมชะตากรรมคนหนึ่งล้มลง… พวกเรา 37 คนจะเข้าไปล้อมพวกเขาเอาไว้ รอจนกว่าลมหายใจสุดท้ายของพวกเขาจะสิ้นสุดไป… เนื้อสดใหม่ก็จะอร่อยกว่าสักหน่อย… เลือดสด ๆ จะอร่อยกว่าเล็กน้อย ข้ายังจำสีหน้าหวาดกลัวของสหายร่วมชะตากรรมได้ และจำประโยคสุดท้ายของเขาได้เช่นกัน”
“เขาบอกว่า…อย่ากินเขาเลย”
“ทว่าพวกเราก็กินเขาอยู่ดี”
“บางทีเขาอาจจะนำโชคลาภมาให้พวกเราก็เป็นได้ วันที่สอง พวกเราได้พบผืนปฐพี… แท้ที่จริงก็มิใช่ผืนปฐพีหรอก ทว่าเป็นธารน้ำแข็งที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา”
“แต่การที่ได้ลงไปเหยียบบนธารน้ำแข็งนั้นเป็นเรื่องดี พวกเราช่วยพยุงกันและกัน พวกเราคิดหาวิธีการล่าสัตว์บนธารน้ำแข็งแห่งนั้น”
“ในที่สุดพวกเราก็รอดชีวิตมาได้”
“หลังจากนั้น…ข้าเสนอให้พวกเขาไปสำรวจธารน้ำแข็ง ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มเดินทางไกล... ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้นหนึ่งร้อยกว่าวัน”
“ลมจากหิมะพัดโหมกระหน่ำหนาวเหน็บมากขึ้นเรื่อย ๆ สหายร่วมทางของพวกเราค่อย ๆ ล้มลง ดังนั้นพวกเราจึงตัดสินใจยอมแพ้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)