ตอนที่ 152 ศิลปะ
การต่อสู้สิ้นสุดในเวลาเพียง 1 ก้านธูป เนื่องจากคนจำนวน 500 คนต่อสู้กับ 300 คน อีกทั้งยังเป็นการซุ่มโจมตี การแพ้ชนะจึงมิต้องกล่าวถึง
ไป๋ยู่เหลียนมาถึงที่นี่และจุดไฟขึ้น
ทหารฝึกใหม่เหล่านั้นแลเห็นซากศพและเลือดที่ยังไม่แข็งตัวเจิ่งนองไปทั่วพื้นธรณี จึงได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา บางคนก็ทรุดลงที่พื้นและอาเจียนออกมา บางคนก็หวาดกลัวตัวสั่นจนหลับตาลง
ไป๋ยู่เหลียนนำหมอมารักษาผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 12 คน บาดเจ็บสาหัส 18 คนและบาดเจ็บทั่วไป 30 คน
สีหน้าเขายังคงนิ่งเรียบดั่งน้ำนิ่ง และกล่าวกับแพทย์คนหนึ่งว่า “นำผู้บาดเจ็บกลับไปรักษา พวกที่เหลือเข้าแถวบัดเดี๋ยวนี้ ! ”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เฉินป๋อที่ยืนอยู่หน้าสุดตามด้วยทหารกว่าสองพันคนเข้าแถวอย่างสงบ
ฟู่เสี่ยวกวนกระโดดลงมาจากต้นไม้ ซูโหรวยังคงนั่งปักผ้าอยู่บนต้นไม้ตามเดิม ส่วนซูม่อมิได้อยู่ที่นี่ เขาติดตามไล่ฆ่าซ่งต้าเป่าไป
“ข้าคิดว่าเราควรฝังศพผู้เสียชีวิตเหล่านี้รวมกันที่ภูเขาไต้ชาน โดยจารึกป้ายหน้าหลุมศพว่า…วีรบุรุษ เพื่อให้ผู้มีชีวิตอยู่ได้มาเคารพ ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัสที่มิสามารถฝึกฝนต่อไปได้ ทำการแจกจ่ายเงินชดเชยและมอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบที่ซีซาน”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อัตราความเสียหายในการต่อสู้ในครานี้ค่อนข้างมาก อาจทำให้ทหารบางคนหวาดกลัว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่หากมิสามารถแก้ไขได้ คงต้องให้พวกเขากลับไปยังซีซานเพื่อรับผิดชอบในหน้าที่อื่นแทน”
“เนื่องจากครานี้เป็นคราแรกที่พวกเขาได้ทำการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ทหารที่จากไปล้วนเป็นทหารใหม่ ประการแรกนั้นคือประสบการณ์น้อย ประการที่สองคือความหวาดกลัวในจิตใจ อีกทั้งสมาชิกในแต่ละกลุ่มมิเข้าใจกันอย่างที่ควร และสุดท้ายคือมิเด็ดขาด ! ”
เขาใช้น้ำเสียงตะคอกออกมาในประโยคสุดท้าย แม้น้ำเสียงเช่นนี้ฟังดูจะมีพลังน่าเกรงขาม แต่ในสายตาฟู่เสี่ยวกวนมองว่ามิควร เนื่องจากการลอบสังหารควรดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ เขาคาดหวังว่าต่อให้ต้องสูญเสียทหารหนึ่งคนต่อศัตรูหนึ่งคน ก็มิควรตะโกนออกมาเยี่ยงนี้ พวกเขาเป็นทหารฝึกฝนพิเศษ พวกเขาควรจะลอบสังหารอย่างไร้เสียงและเด็ดเดี่ยว เหมือนกับการหั่นผักปลา ซึ่งหาได้จำเป็นต้องออกเสียงไม่
“อืม การฝึกฝนในขั้นตอนต่อไปจักต้องคำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ให้มากกว่าเดิม”
“แต่ก็มิต้องรีบร้อนเสียเกินไป เพียงให้พวกเขารับรู้ถึงอันตรายของการต่อสู้ก็เพียงพอ ให้พวกเขาตระหนักถึงข้อนี้ และนับจากนี้…พวกเขาจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอีกมากมาย ท้ายสุดผู้ที่ผ่านบทพิสูจน์ได้เท่านั้นจึงจะนับว่าเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็มองไปยังหลิวซานเปี้ยนที่พยายามดิ้นรนอยู่บนต้นไม้แล้วกล่าวกับซูโหรวว่า “ปล่อยตัวเขาลงมาเถิด ข้ามีเรื่องอยากถามเขาสักหน่อย”
ตุ๊บ ! เสียงหลิวซานเปี้ยนตกลงมาจากต้นไม้
ฟู่เสี่ยวกวนก้มตัวลงไปข้าง ๆ หลิวซานเปี้ยน เขาหยิบมีดขึ้นมาตัดเชือกที่ปิดหน้าหลิวซานเปี้ยนออกจากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใคร ? ”
หลิวซานเปี้ยนจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ข้าหน้าตาหล่อเหลามากงั้นหรือ ? เจ้าเป็นใคร ? เจ้ายังมิได้ตอบข้า ! ”
“ข้าคือหลิวซานเปี้ยน ผู้ติดตามท่านกงเซินฉาง หากเจ้าปล่อยตัวข้าไปแต่โดยดี ข้าจักขอร้องให้ท่านกงเซินฉางไว้ชีวิตเจ้า ! ”
เพี๊ยะ ! ! !
เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังสนั่น หลิวซานเปี้ยนหน้าหันกระอักเลือดออกมา เขารีบหันหน้ากลับมาจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มอย่างระรื่นใจ
“กงเซินฉางอะไร ข้ามิรู้จัก ! จะให้ข้าปล่อยไปคงเป็นไปมิได้แน่ เจ้าจงตอบคำถามข้ามาตามตรงแต่โดยดี ข้าสามารถให้เจ้าสิ้นใจอย่างมิทรมาน”
“อย่าได้ฝันไป !”
เพี้ยะ ! ! !
เสียงฝ่ามือดังขึ้นอีกครั้ง
หลิวซานเปี้ยนถูกฟู่เสี่ยวกวนตบเข้าเสียจนมึนงง มองดูแล้วเขาจะมิยอมง่าย ๆ เป็นแน่ แต่เขาจะมิยอมถูกเอาเปรียบ หากฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามมา เขาจะตอบตามความเป็นจริงไปก่อน แล้วรอให้ปี้ตู๋จินกังมาช่วยเหลือ
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมาอีก เขาตัดเชือกที่ผูกรัดตัวของหลิวซานเปี้ยนออก จากนั้นจับมือเขาขึ้นมาข้างหนึ่ง กดลงไปที่พื้น
“เจ้า เจ้า ! จักทำสิ่งใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกริชออกมา แล้วกรีดลงไปที่ข้อมือนั้น
“อย่า ! ช้าก่อน ! จงถามมา ข้าจะตอบเจ้าทุกคำถาม อ๊าก… ! ”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนตัดนิ้วหัวแม่มือของเขาจนขาด แต่ก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมาอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)