ตอนที่ 164 ข้าเป็นคนดี
“ชมบุปผาฤดูใบไม้ผลิ ชื่นชมจันทราคราใบไม้ร่วง สายลมโชยมายามหน้าร้อน ฤดูหนาวผิงไฟอุ่นท่ามกลางหิมะขาว”
ผู้คนมากมายโหยหาชีวิตที่งดงามเช่นนี้ !
แต่มีสักกี่คนเล่าที่มีชีวิตเยี่ยงนี้ ?
ต่งชูหลานทอดสายตาไปยังทะเลสาบซวนอู่อันไกลออกไป หิมะที่โปรยลงมาคล้ายผีเสื้อที่กำลังโบยบิน กระพือปีกแล้วร่อนลงสู่ทะเลสาบ ณ วินาทีนั้นคล้ายกับตกอยู่ในความฝัน
เกล็ดหิมะเย็นเยือก แต่ต่งชูหลานกลับมองว่าหิมะเหล่านี้เป็นความหวังก่อนก้าวสู่ฤดูที่อบอุ่น
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพยายามอย่างยิ่งเพื่ออนาคต เขามิใช่ชายหนุ่มที่เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ อีกต่อไป เขาเปลี่ยนแปลงตนเองในระยะเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังสามารถรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวง
“ไปเถอะ พวกเราไปซื้อของกัน ข้าเองมาเมืองหลวงตั้งนานแล้วยังมิเคยได้เดินสำรวจร้านค้าต่าง ๆ เลย นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเราไปจัดหาซื้อของกันเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็จับมือชูหลานลุกขึ้น
“อืม”
ทั้งสองเดินมายังลานใหญ่ เขาพาซูม่อและชุนซิ่วอีกทั้งบ่าวรับใช้อีกสิบกว่าคนออกจากจวนฟู่ไป
ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว ทั่วท้องถนนของเมืองหลวงถูกประดับไปด้วยโคมไฟสวยงามสีสันสดใส
แม้หิมะจะตกลงมาไม่ขาดสาย แต่ความหนาวเหน็บก็มิอาจปิดกั้นบรรยากาศครึกครื้นนี้ได้
ฝูงชนบนท้องถนนเดินกันขวักไขว่ ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันน่ายินดี บรรดาเศรษฐีทั้งหลายล้วนพาบ่าวใช้ออกจ่ายตลาด หรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ได้นำเงินที่เก็บสะสมไว้ออกมาเพื่อจับจ่ายใช้สอย ซื้ออาหารและเสื้อผ้าสำหรับปีใหม่เป็นต้น
ลูกเล็กเด็กแดงพากันปั้นหิมะที่ขาวโพลน ในมือของพวกเขาถือประทัดและดอกไม้ไฟเอาไว้ บางคนโยนประทัดไปท่ามกลางกลุ่มคน เมื่อประทัดดังขึ้นผู้คนแตกตื่น เด็กน้อยเหล่านั้นก็หัวเราะได้ใจและวิ่งหนีไปโยนใส่อีกกลุ่มหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเดินมองดูภาพเหล่านั้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนเขารู้สึกว่านี่มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง นี่เป็นการก้าวข้ามปีครั้งแรกนับจากที่เขาเดินทางมายังโลกนี้
ส่วนเรื่องของที่ต้องซื้อหานั้น……ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้เสียเลยว่าต้องซื้อสิ่งใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ต่งชูหลานเป็นผู้จัดการ
เมื่อหวนนึกถึงในชาติก่อน สมัยเด็ก ๆ เขาก็เคยสัมผัสกับบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ แม้ว่าในตอนนั้นครอบครัวจะยากจน แต่ในทุก ๆ วันข้ามปีเขาจะได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ
เมื่อโตขึ้นมา เขาได้เดินทางไปยังสนามฝึก ในแต่ละปีเขาราวกับหมาป่าเดียวดายที่เดินอยู่ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุดในโลก คำว่าปีใหม่สำหรับเขาห่างเหินออกไปทุกวัน
ดังนั้น ปีใหม่ในความทรงจำของเขาคือการได้กินอาหารอร่อย ๆ เท่านั้น
“ท่านพ่อกล่าวว่าในวันพรุ่งนี้ให้เจ้าไปที่จวนได้ เช่นนี้เรื่องราวต่าง ๆ คงตามมามากทีเดียว” ต่งชูหลานนำผ้าไหมใส่ลงไปในตะกร้าที่บ่าวรับใช้ถือไว้ “เช่นนั้นหมายความว่าท่านพ่อยอมรับเรื่องราวของเราทั้งสองแล้ว ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังจวนญาติ ๆ และทำความรู้จักกับพวกเขา อีกทั้งตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่มอบของแด่เจ้านั้นข้าไว้รวบรวมรายชื่อไว้แล้ว บัดนี้เจ้าหายดีก็ควรไปเยี่ยมเยียนพวกเขาสักหน่อย อีกทั้งควรมอบของขวัญกลับด้วย เพื่อแสดงถึงน้ำใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี เรื่องที่ตนต้องไปทำความรู้จักกับญาติของต่งชูหลานนั้นก็เพื่อให้เรื่องของตนทั้งสองนั้นราบรื่นขึ้น ส่วนเรื่องส่งของกำนัลกลับไปแก่ผู้ที่เคยมอบของขวัญแก่เขานั้น ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง การที่เขาเดินทางไปพบพวกเขาด้วยตนเองก็เพื่อต่อไปทำการใด ๆ ในเมืองหลวงสะดวกขึ้น
“ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกนั้นมิต้องมอบของขวัญหรอก ส่วนญาติ ๆ ของเรา ข้าจะต้องจัดเตรียมของขวัญให้สมศักดิ์ศรี” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม
ต่งชูหลานยิ้มอย่างเขินอาย นางไม่มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นคุณชายของพ่อค้าที่ดิน แต่บัดนี้เขามีตำแหน่งทางราชการถึงขั้นห้า แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว อำนาจเล็กน้อยเพียงเท่านี้เทียบมิได้กับเมืองหลวงเสียเลย ญาติของนางโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายมารดาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก หากของกำนัลไม่มีคุณค่า เกรงว่าพวกเขาจะมีอคติต่อฟู่เสี่ยวกวนได้
ญาติของนางล้วนต้องการให้นางแต่งงานกับเยี่ยนซีเหวิน พวกเขาจะต้องนำฟู่เสี่ยวกวนไปเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวินแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ช่างน่าหนักใจนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาเดินเลือกซื้อของกระทั่งมาถึงตรอกชิงหลวนอันรุ่งเรือง
ท่าเรือนี้เดิมทีเป็นพื้นที่บันเทิงใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวง แต่นับจากถูกชิงเฟิงซี่หยู่เผาทำลายก็มิได้สร้างขึ้นมาใหม่ รอยเขม่าสีดำถูกหิมะสีขาวหนาปกคลุม แต่ยังมิอาจบดบังร่องรอยกำแพงหักพังนั้นได้
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดฝีเท้าลงที่นี่เป็นเวลาเนิ่นนาน เขานึกในใจว่าพื้นที่อันแพงโขแห่งนี้ กลับปล่อยให้รกร้างช่างน่าเสียดายยิ่ง การที่ตระกูลชือทำเยี่ยงนี้ เพื่อต้องการให้เขาเห็นหรือให้ผู้ใดเห็นกันแน่ ?
ทันใดนั้นเองมีรถม้าสองคันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า รถม้าคันแรกมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมา ชายผู้นี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักดี เขาคือชืออีหมิงนั่นเอง ส่วนรถม้าคันหลังมีชายสองคนเดินลงมา ทั้งสองคนนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จัก
ชืออีหมิงก็กำลังจ้องมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน เขาตกตะลึงเล็กน้อยและนึกในใจว่า เจ้าปิศาจนี่เดินทางมาเมืองหลวงเมื่อใดกัน ?
แล้วเขาหยุดอยู่ที่นี่ดูสิ่งใด ?
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วเดินหน้าขึ้นไป โบกมือทักทายชืออีหมิง “สวัสดีปีใหม่ อีหมิง ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)