ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมเริ่มตก แต่หิมะกลับตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในป้านเยี่ยนซวนมิได้จุดไฟ จึงดูมืดสลัว ขันทีเหนียนได้ออกไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว
เขาต้มชาและดื่มชาเพียงลำพัง มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้มมิจางไปไหน
เนื่องด้วยตัวเองในตอนนี้ได้มีต้นไม้ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าคอยโอบอุ้ม เนื่องจากองค์จักรพรรดิต้องการแก้ไขการทำงานของราชสำนัก เยี่ยงนั้นตัวเขาในตอนนี้ควรทำให้เขาเห็น
สำหรับการสอบสวนเฟ่ยอันใหม่อีกครา ก็เป็นเพียงเพราะข้อมูลที่หลินหงบอกเขามาเท่านั้น
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่2 กองทัพชายแดนตะวันออกถูกกองทัพของราชวงศ์อู๋กวาดล้างที่ภูเขาฉีซาน แต่เรื่องที่ถูกรายงานไปถึงราชสำนักกลับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ !
ในเอกสารรายงานของเฟ่ยอัน สนามรบครานั้นสังหารศัตรูไปถึง 800 คน ทั้งยังมีหัวส่งไปยังเมืองหลวงอีกด้วย
ช่างน่าสมเพชนัก ภายในแปดร้อยหัวนั้นมิมีคนของราชวงศ์อู๋เลยแม้แต่คนหนึ่ง ทั้งหมดนั้นคือชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยู่ใต้ภูเขาฉีซาน !
เมื่อมาคิดเรื่องนี้ในตอนนี้คาดว่าน่าจะเป็นข่าวกรองที่ส่งกลับมาจากซี่โหลว หลังจากนั้นบิดาของหลินหงจึงได้ถูกกุมขัง ต่อมาเฟ่ยอันก็ได้ลาออกไปทำนาที่เขตหนานหลิง
เรื่องนี้ยังมิได้เผยแพร่ในราชสำนัก จึงจัดการอย่างเงียบ ๆ เยี่ยงนี้ คิดไปว่าองค์จักรพรรดิไม่อยากลงมือกับตระกูลเฟ่ย แน่นอนว่าความเกี่ยวข้องที่อยู่ในนั้นใหญ่อย่างมาก หรือบางทีอาจเป็นเพราะความยุ่งเหยิงของผลประโยชน์นั้นกว้างเกินไป
อย่างไรก็ตามอำนาจของตระกูลเฟ่ยก็ได้ฝังรากลึกไว้ในราชวงศ์หยู เบื้องบนมีทหารผ่านศึกสามราชวงศ์อย่างราชครูอาวุโสเฟ่ย เบื้องล่างก็มีเสนาบดีกรมกลาโหมคนปัจจุบันเฟ่ยปัง ทั้งยังมีขุนนางฝ่ายตรวจการอย่างเฟ่ยติ้ง
ยังมีบุตรชายคนที่สี่ของราชครูอาวุโสเฟ่ยเฟ่ยกั๋ว คนผู้นี้ในยามนี้อยู่ในกองทัพชายแดนตะวันออก ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารม้า
ส่วนที่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงไม่ใช้โอกาสนั้นจับกุมตระกูลเฟ่ย ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความคิดที่จะหวนรำลึก แต่ในตอนนี้เขาอยากจะเคลื่อนไหวตระกูลเฟ่ย นี่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเขาในครานั้น เขามิต้องการให้ชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนต้องตายอย่างสูญเปล่า
หากการทำนาสามารถชดใช้บาปกรรมได้… ทุ่งนาทั่วใต้หล้านี้ก็มิเพียงพอ !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกำร่มกระดาษและเดินกลับไปยังป้านเยี่ยนซวน มองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังดื่มชาเพียงลำพังท่ามกลางแสงไฟสลัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นช่างโดดเดี่ยว และรู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อายุ 17 ปี พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไปหรือไม่ ?
“คิดสิ่งใดกัน” หยูเวิ่นหวินจุดตะเกียง ป้านเยี่ยนซวนจึงสว่างขึ้นมา
“คิดว่าข้าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสามารถสู่ขอพวกเจ้าจากพ่อตาได้” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองหยูเวิ่นหวิน ช่างเป็นใบหน้าที่สดใสเสียจริง ๆ
หยูเวิ่นหวินส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อย ด้วยใบหน้าเขินอาย “เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าข้าจะได้ผอมลีบเสียยิ่งกว่าดอกหวง… เกรงว่าคนบางคนจะรังเกียจกันก็มิทันเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ผิวที่งดงามนับพันก็เหมือนเดิม จิตวิญญาณที่น่าสนใจคงมีเพียงหนึ่งจากในหมื่น ข้าดูเป็นคนที่มองผิวเผินเยี่ยงนั้นรึ”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา “ข้าดูแล้ว… คุณธรรมของเจ้ายังไปมิถึง”
“เอาล่ะ ๆ ควรกลับได้แล้ว เย็นนี้ฝ่าบาทจะมายังวังเตี๋ยอี๋ ดังนั้น มือเย็นวันนี้ควรกลับไปจัดการด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น สองมือค้ำโต๊ะน้ำชาและลุกขึ้นยืน “เฮ้อ… คิดว่าจะได้ทานข้าวอีกสักมื้อ ไปเถอะ เวิ่นหวินจะไปด้วยหรือไม่”
“ข้าจักไปที่ไหนได้ ?พวกเจ้าไปก่อนเถอะ เสด็จแม่ต้องการให้ข้าอยู่ต่อ พรุ่งนี้หากมีเวลาว่างจะไปหาพวกเจ้าที่จวนฟู่อีก”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้ออกมาจากพระราชวัง และก็ได้พบกับซูม่อที่รออยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เสร็จแล้วหรือ”
“อือ เสร็จแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมองร่างของซูม่อที่เต็มไปด้วยหิมะ จึงตบบ่าของเขา แล้วกล่าวว่า “ความจริงเจ้ามิต้องมารับข้าก็ได้”
“ข้ารับปากกับไป๋ยู่เหลียนแล้ว นอกจากข้าตายไปแล้ว เจ้าจะถูกทำร้ายอย่างแน่นอน”
“…เอาเถอะ กลับกัน ชูหลาน เจ้าจะจัดการอย่างไรดี ?”
“ข้าต้องกลับไปคุยกับท่านพ่อที่จวน”
“อือ เยี่ยงนั้นข้าไปส่งเจ้าก่อน”
……
…..
ณ วังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนยืนอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเคารพ และรายงานเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนตอบรับจะจัดการเรื่องของซี่โหลวโดยละเอียด
องค์จักรพรรดิหยูยิ่นวางตะเกียบ ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกกว้าง หยูเวิ่นเต้าคิ้วขมวด พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกลับยังสงบนิ่ง นางตักซุปให้องค์จักรพรรดิ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเพคะ หม่อมฉันกล่าวแล้วว่าชายผู้นี้ละเอียดอ่อนนัก”
หยูยิ่นเงียบไปอึดใจ “ท่านกล่าวว่า… ในมือของเขานั้นมีดาบสังหารตระกูลเฟ่ยอยู่ เรื่องนี้จะใหญ่เกินไปหรือไม่ ? ทั้งในปีนั้นก็มีคนรู้เรื่องนี้เพียงไม่กี่คน เขารู้ได้เยี่ยงไรกัน?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยครุ่นคิด และตอบกลับ “หม่อมฉันกลับคิดว่าเขาเริ่มต้นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมจากตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ดังที่กล่าวว่าเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ ในภูเขานั้นต้องมีเสืออยู่เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้เยี่ยงไร เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็มิทราบ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นเต้าก็นึกเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารขึ้นมา สตรีนางหนึ่งจากหอเยียนจือนามหลินหงได้หายตัวไป ฐานะของหญิงสาวผู้นั้นเขาย่อมรู้ดี บิดาของหลินหงเป็นรองแม่ทัพของเฟ่ยอัน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)