นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 168

สำนักเต๋าล้วนมีแต่พวกพิเศษเช่นนี้หรือ ?

ศิษย์ส่วนใหญ่ที่สำนักเต๋ารับเข้ามามักจะเป็นเด็กกำพร้า ดูได้จากแซ่ซูเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้แซ่ว่าซู

ผู้สังเกตการณ์จะออกไปท่องใต้หล้าทุก 3 ปี หากพบผู้มีแววในด้านวรยุทธ์ ซึ่งมักจะเป็นเด็กกำพร้า ผู้สังเกตการณ์ก็จะพาตัวเขากลับมาด้วย ตอนนี้สำนักเต๋ามีลูกศิษย์มากกว่าร้อยคนขึ้นไป แต่ศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนจากผู้สังเกตการณ์โดยตรงกลับมีแค่ 8 คน ซูม่อเป็นคนสุดท้าย

ส่วนศิษย์รุ่นที่สามคนอื่น ๆ ก็จะได้รับการสั่งสอนโดยเหล่าศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของซูม่อ ซึ่งผู้สังเกตจะไม่เข้าไปแทรกแซง เนื่องจากตัวพวกเขานั้นยุ่งมาก

ตอนที่กล่าวว่าผู้สังเกตนั้นยุ่งมาก…อากัปกริยาของซูม่อก็แปลกไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้พูดขึ้นมา

ช่างเถอะ สำนักเต๋าแห่งนี้ตั้งแต่ผู้สังเกตการณ์ไปจนถึงลูกศิษย์ ก็น่าจะมีคนปกติแค่ไม่กี่คน

หลังจากทั้งสี่คนดื่มเสร็จก็พากันแยกย้ายกลับห้อง ซูเจวี๋ยนั่งสมาธิ ซูโหรวปักผ้าต่อ ซูม่อคว้ากระบี่แล้ววิ่งออกไป ร่ายรำกระบี่ท่ามกลางหิมะตกหนัก ฟู่เสี่ยวกวนมองชมอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหน้า แล้วกลับห้องตัวเองไป

สิบสามกระบี่ฉวนเจินเหมือนกัน แต่ทำไมช่องว่างถึงได้กว้างกันนัก ?

ฟู่เสี่ยวกวนหวนคิดถึงเหตุการณ์ในพระราชวังวันนี้ แล้วหยิบดาบรูปนกฟีนิกซ์สีทองออกมาดูอย่างละเอียด

ฝีมือวิจิตรตระการตามาก นกฟีนิกซ์น้อยโผบินตรงด้ามดาบก็งดงามราวกับมีชีวิตจริง ๆ อืม ช่างประณีตล้ำค่ามาก หากวันไหนตกอับ นำสิ่งนี้ไปแลกคงได้เงินมามิน้อยเลย

เก็บดาบสั้นไว้ในอกเสื้อ พลางครุ่นคิดในใจว่าพรุ่งนี้จักต้องหาเวลาไปพบฉินปิ่งจง จดหมายฉบับนั้นของฉินเฉิงเย่ยังอยู่กับเขา ฉินปิ่งจงมาถึงเมืองหลวงก่อนหน้าเขาสามวันแล้ว จดหมายนี้สมควรจะส่งมอบให้เขา

คืนนี้หากการสนทนาระหว่างชูหลานกับบิดาเป็นไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ก็ต้องไปเยี่ยมคารวะที่จวน เฮ้อ พรุ่งนี้ก็เป็นเดือนสิบสองวันที่ยี่สิบแปดแล้ว พริบตาเดียวก็จะถึงวันสิ้นปี ยังต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลใหญ่ทั้งหกอีก

การเป็นขุนนางกูเฉิน ไม่มีผลกระทบอะไรกับการไปมาหาสู่ระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและหกตระกูลใหญ่ คิด ๆ ดูแล้วพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคงเข้าใจเรื่องนี้ อีกอย่างในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตน ซั่งกุ้ยเฟยก็คงจะทราบ

แน่นอนเขามิเชื่อว่าดาบสั้นเล่มนี้จะมอบให้กับตนเองจริง ๆ ขันทีเหนียนคงรับผิดชอบจับตาดูเขา

แม่ยายผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง หอชิงเฟิงซี่หยู่ก่อตั้งมาหลายปีแล้ว แต่มิรู้ว่าชั้นสามนั้นมีไว้ทำอันใด

เขาเพียงแค่อยากรู้เรื่องนี้ บัดนี้ในเมื่อสามารถรับข่าวกรองผ่านทางหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ สำหรับเขาแล้ว นี่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาอย่างมาก

ต่อมา เขาก็สั่งการขันทีเหนียนอีกครั้ง——ทะเลสาบต้งถิงห่างจากเยว่โจวไปประมาณ 800 ลี้ ที่นั่นมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง บนเกาะมีภูเขานามว่าจวิ้นชาน ที่ตีนเขาจะมีหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีหญิงชราแขนขาดข้างหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่กับเด็กสาวคนหนึ่ง คำนวณตามปีแล้ว ปีนี้เด็กคนนั้นคงอายุได้ 6 ขวบแล้ว

หากสิ่งที่หลินหงพูดเป็นความจริง งั้นเด็กผู้นี้ก็คือบุตรสาวของหนานป้าเทียน

หลิงหงมิรู้ว่าใครเป็นผู้สั่งการให้ลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน แต่คำสั่งนี้มาจากหยี่ฮวาถาย——ซึ่งหลินหงก็เป็นสมาชิกของหยี่ฮวาถายเช่นกัน และผู้ที่สั่งให้จ้าวซื่อหยางชีดำเนินการตามคำสั่งก็คือหลินหง เพียงแค่นางมิได้ออกหน้าเท่านั้น

สำหรับเบื้องลึกเบื้องหลังของหยี่ฮวาถายหลินหงเองก็รู้ไม่มากนัก ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้วลักษณะของหยี่ฮวาถายก็ไม่ได้แตกต่างจากหอชิงเฟิงซี่หยู่นัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลินหงพูดออกมาแล้วดึงดูดความสนใจฟู่เสี่ยวกวน ก่อนเกิดเรื่อง 1 วัน หนานป้าเทียนได้ไปที่อารามซุ่ยเยว่ ซึ่งอารามซุ่ยเยว่คือสถานที่นัดพบของหยี่ฮวาถาย ด้านในมีเพียงแม่ชีผู้หนึ่ง ที่คอยดูแลรูปปั้นเจ้าแม่หนี่วา

หนานป้าเทียนผู้นี้เคยกล่าวกับฉินโม่เหวินว่า สตรีสะสวยผู้นั้นเคยเป็นองค์รักษ์ขององค์ชายสี่

วรยุทธ์สูงส่งดุดัน ยากจะหาใครมาเป็นคู่มือได้ ตอนนี้นางกับหยี่ฮวาถายมีบางอย่างเกี่ยวข้องกัน สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มความสนใจในตัวนางมากขึ้น

จากการวิเคราะห์นี้ เบื้องหลังของเหตุการณ์ในครั้งนั้นดูเหมือนจะมีเงาขององค์ชายสี่อยู่ ตระกููลเฟ่ยกับตระกูลสีคือตระกูลใหญ่ที่คอยสนับสนุนองค์ชายสี่ วันนี้เขาจึงขอร้องให้ขันทีเหนียนตรวจสอบเฟ่ยอันอีกครั้ง เขาอยากเห็นว่าถ้าหากเฟ่ยอันมีปัญหา องค์ชายสี่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร ?

แน่นอน เรื่องที่ซี่โหลวคงมิอาจตรวจสอบแล้วรู้ผลได้ทันที แต่ตอนนี้เขากำลังจะขุดมันขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาไม่สามารถทำอะไรตระกูลเฟ่ยได้ เพราะว่าเรื่องที่ซี่โหลวนั้นมองมิเห็นหนทางเลย อีกอย่างเขาก็ไม่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายด้วย

แต่เขาก็ยังยืนกรานจะทำเช่นนี้ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคิดว่านี่คือการเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ แต่ความตั้งใจเดิมของฟู่เสี่ยวกวนคือการแหวกหญ้าให้งูตื่น

การเคลื่อนไหวในครั้งนี้อันตรายมาก หากพยัคฆ์ถูกทำให้ตกใจก็อาจจะพุ่งเข้ามาขย้ำตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนงูนั้นหากตื่นตระหนกขึ้นมา แล้วจัดการไม่ดีก็อาจถูกแว้งกัดได้

นี่คือการร่ายรำบนปลายกระบี่ ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ มีเรื่องใหญ่แบบนี้ แล้วจะสงบสติอารมณ์ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้อย่างไร ?

……

วันต่อมา หิมะแรกได้หยุดตกแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสราวกับคริสตัล

หลังจากวิ่งออกกำลังในตอนเช้าแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วทานอาหารเช้า จากนั้นก็ไปที่ศาลาเถาหราน

พระอาทิตย์เพิ่งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงสีแดงที่ย้อมท้องฟ้าดูราวกับไข่แดงที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่

หิมะหนาทับถมบนทะเลสาบซวนอู่ ส่องประกายวิบวับประหนึ่งดวงดาวที่เจิดจรัส

จิตใจพลันสงบนิ่ง ผ่านไปไม่กี่อึดใจเขาก็นั่งขัดสมาธิในศาลาเถาหราน จากนั้นก็ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง

ปีศาจน้อยนามซูซูผู้นั้นเขาย่อมมิอาจเลียนแบบได้ แต่ซูม่อที่ใช้เวลาฝึกฝนถึงสามปีจึงจะเกิดลมปราณขึ้นนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตนเองน่าจะทำได้ กระทั่งยังทำได้ดีกว่าซูม่อ

ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้น เขาลืมตา หันไปมอง ก็พบว่าต่งชูหลานกำลังเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่ราวกับนกน้อยโผบิน

เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะทะยานออกไปประหนึ่งหมาป่าผู้หิวโหย

ทันใดนั้นนกน้อยก็ถูกหมาป่าโผเข้าใส่ แล้วดึงร่างเข้ามาในอ้อมกอด ซูม่อที่อยู่ไกลออกไปก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ชุนซิ่วที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมเตาใหม่ก็เดินกลับไปเช่นกัน

นกน้อยที่น่าสงสารเช้านี้คงถูกหมาป่าย่ำยีอย่างแน่นอน——ต่งชูหลานคงลืมไปว่าเมื่อวานเพิ่งจะบอกฟู่เสี่ยวกวนว่าห้ามแตะเนื้อต้องตัวตนเองอีก

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)