“คุณชายฟู่ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ ! ”
ท่าทางเคร่งเครียดของขันทีเจี่ยทำให้ต่งหยวนชื่อและต่งชูหลานตึงเครียดขึ้นมาทันพลัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มบาง ๆ และกล่าวกับพวกนางว่า “ดูเหมือนว่าจะมิมีเรื่องใหญ่หลวงอันใด พวกท่านมิต้องตึงเครียดไป ท่านป้า หงเซาซือจึโถว่นี้อร่อยมาก หากสะดวก มื้อเย็นโปรดทำอาหารจานนี้อีกคราด้วยขอรับ”
นี่มันช่วงเวลาใดกันแล้ว คาดมิถึงว่าเด็กนี่จะนึกถึงมื้อค่ำขึ้นมา !
ต่งหยวนชื่อจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “หากมิมีธุระ หงเซาซือจึโถว่นี้ย่อมทำให้เจ้าทานอีกคราได้อยู่แล้ว แต่หากมีธุระ…ก็อย่าแม้แต่จะคิดละเลยหน้าที่เพื่อมากิน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ข้ารับปากว่าจะมิมีธุระแน่นอน เอาเถิด พวกท่านคอยฟังข่าวอย่างสบายใจ ข้าขอตัวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากจวนต่งมาพร้อมกับขันทีเจี่ย เมื่อขึ้นรถมาแล้ว สีหน้าของเขาก็มืดครึ้มทันพลัน
จากที่ได้เห็น เกรงว่าการคาดเดาของตนเองจะเป็นจริง เหล่าคนโง่นั้นสมควรตายทั้งสิ้น ! รบกวนเวลากระชับความสัมพันธ์กับแม่ยายของข้า เกือบจะเอาชนะใจแม่ยายได้อยู่แล้วเชียว ในตอนที่วันแห่งความสุขกำลังกวักมือเรียก กลับถูกเหล่าคนโง่นั่นทำลายเสียได้
ท่าทางเข่นเขี้ยวของฟู่เสี่ยวกวนทำขันทีเจี่ยตื่นกลัว ชายผู้นี้…ท่าทางราวกับจะกินคน คิดจะทำอันใดกัน ?
“อ่า ขันทีเจี่ย ดูความจำของข้าสิ…” ฟู่เสี่ยวกวนนำน้ำหอม 2 ขวดจากในแขนเสื้อออกมาและส่งให้กับขันทีเจี่ย “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อวาน คิดไว้แล้วว่าจะนำน้ำหอมไปให้ท่านขันทีในตอนที่เข้าวังหลวงในเมื่อวาน แต่คาดมิถึงว่าจะมีธุระมากมายจนเสียเวลาไป ผลก็คือวันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าเป็นวันหยุดแล้ว แต่เดิมนั้นเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่วันนี้ก็ประจวบเหมาะกับที่ฝ่าบาทให้ท่านออกมาหาข้า หรือนี่ จะเป็นโชคชะตากัน”
ขันทีเจี่ยดีใจ ของสิ่งนี้ในปัจจุบันได้มีขายที่เมืองหลวงแล้ว ถึงแม้จะเป็นขวดเล็กและมีราคา 12 ตำลึง แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็มิถือว่าเป็นปัญหาอะไร
ของสิ่งนี้ดียิ่ง ครั้งที่แล้วที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ให้เขามา 1 ขวดก็ยังมิหมด ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ให้เขามาอีก 2 ขวด ถึงแม้จะมิใช่ของล้ำค่า แต่ที่ล้ำค่าก็คือความคิดที่วิจิตรของชายผู้นี้
“เยี่ยงนั้นข้าขอมิเกรงใจคุณชายฟู่แล้ว…” ขันทีเจี่ยนำน้ำหอมเก็บไว้ในชายเสื้อ แล้วกล่าวอีกว่า “เดิมทีในวันนี้ฝ่าบาทตั้งใจจะไปพระตำหนักฉือหนิงกงเพราะเป็นห่วงพระชนนี คาดมิถึงว่าเสนาบดีต่งจะปรี่เข้ามาหา หลังจากนั้นก็ได้พูดขึ้นมาหนึ่งเรื่อง…เสนาบดีต่งกล่าวว่าเป็นความคิดของท่าน คุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงแม้ฝ่าบาทจะมิเคยชมเชย แต่จากที่ข้าได้มอง ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคุณชายอย่างมาก มิฉะนั้นคงมิรีบให้ข้าออกมาเชิญท่านเข้าวังเยี่ยงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “ท่านขันทีชมกันเกินไปแล้ว… ขอบังอาจถามท่านขันที ที่ห้องทรงพระอักษรนอกจากฝ่าบาทและเสนาบดีต่งแล้ว ยังมีขุนนางท่านอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“ในขณะนี้ยังมิมี แต่หลังจากที่ข้าส่งท่านเข้าวังแล้วก็ยังต้องไปที่จวนเยี่ยนและตระกูลเฟ่ย”
“โอ้… ลำบากท่านขันทีแล้ว”
เรื่องสำคัญเยี่ยงนี้ ฝ่าบาทย่อมปรึกษาหารือกับเยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้า ส่วนตระกูลเฟ่ย… เฟ่ยปังที่ควบคุมกรมกลาโหม ก็ควรมีส่วนร่วม
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบครุ่นคิดและมีความคิดขึ้นมาหนึ่งอย่าง หลังจากที่เข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็ควรจะไปหาขันทีเหนียนเสียหน่อย เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก วังหลังมิใช่ที่ที่เขาจะเข้าไปได้ตามใจชอบ มิมีเทียบเชิญของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหรือมิมีหยูเวิ่นหวินคอยนำ เขาก็ไร้หนทางที่จะเข้าไป
ทันทีที่มาถึงห้องทรงพระอักษรวังหลวง ขันทีเจี่ยก็เอ่ยลาขอตัว ฟู่เสี่ยวกวนจึงก้าวเข้าไปข้างใน
ด้านในเงียบสงบไร้เสียง
ฝ่าบาทกำลังยืนอยู่ข้างกำแพง ที่มีแผนที่ขนาดใหญ่ประดับเอาไว้อยู่
ต่งคังผิงนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชา และกำลังพลิกเปิดสมุดบัญชีเล่มหนาในมือ
มิมีผู้ใดสนใจฟู่เสี่ยวกวน นี่มันค่อนข้างอึดอัด เขาหันมองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ! ”
ฮ่องเต้มิได้สนใจเขา ยังคงมองแผนที่ดังเก่า ต่งคังผิงเองก็มิได้เงยหน้ามามองเขา ยังคงมองสมุดบัญชีเล่มนั้นด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนเม้มปาก และนั่งลงข้ามโต๊ะน้ำชาตามสบาย และเทน้ำชาให้กับต่งคังผิงและตนเองคนละจอก
ต่งคังผิงเหลือบมองเขา เด็กนี่ใจกล้ายิ่งนัก !
“เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนโน้มตัวลงไปเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“มิดี”
“โอ้… ขอข้าดูหน่อย ! ”
ต่งคังผิงเหลือบสายตาขึ้นมามอง ลอบคิดในใจว่าของที่ซับซ้อนเยี่ยงนี้เจ้าจะสามารถอ่านให้เข้าใจได้รึ ?
แต่เขาก็ส่งสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “นี่คือบัญชีเสบียงของซานหนานตงเต้าในปีนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและอ่านสิบบรรทัดในหนึ่งคราอย่างว่องไว เสียงพลิกหน้ากระดาษดังฟึบฟับ มีเพียงบางคราที่หยุดหายใจ หลังจากนั้นก็พลิกอ่านต่อ ใช้เวลาไปไม่เท่าไหร่ เขาก็ได้อ่านสมุดบัญชีเล่มหนานั้นจนจบ
ต่งคังผิงเหลือบสายตามองเขาอีกครา ลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้ประพันธ์บทกวีได้ดี แต่เรื่องบัญชีก็เป็นเพียงคนนอก
“ตามการจดบันทึกของสมุดบัญชี เม็ดเงินที่ใหญ่ที่สุดแบ่งได้เป็น 2 รอบซึ่งมาจากเดือนห้าและเดือนเจ็ด เดือนห้าเสบียงของซานหนานตงเต้ารวมทั้งหมดเป็น 186,999 ถัง ส่งไปที่ซินโจว ให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมสงครามทางเหนือ ปลายเดือนเจ็ดเสบียงทั้งหมดของซานหนานตงเต้ารวบรวมได้ 230,000 ถัง ส่งไปทางเหนือและใต้ของเหอหนาน ให้เหตุผลว่าเป็นการบรรเทาสาธารณภัยของราชสำนัก ในปีนี้ธัญพืชแบบหยาบและแบบละเอียดของซานหนานตงเต้ารวบรวมได้ทั้งหมด527,000 ถัง เมื่อหักลบไป 316,000 ถัง ก็จะเหลือ 211,000 ถัง… เสบียงของซานหนานตงเต้ามิสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว เมื่อลองคิดดู เจี้ยนหนานตงเต้าก็เกือบจะเป็นเยี่ยงนั้นเช่นกัน”
ต่งคังผิงเงยศีรษะขึ้นมา และมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะตัวเลขนั้นถูกทั้งหมด !
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยคิ้วขมวด “เยี่ยงนั้นก็ต้องโยกย้ายเสบียงจากเจียงหนานและเจียงเป่ย…” เขาลุกขึ้นยืน และเดินไปยังด้านข้างของฮ่องเต้ และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงถอยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ต่งคังผิงตาโตฉับพลัน ฮ่องเต้ยกฝ่ามือจนเกือบจะตีเข้าที่หัวของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่ได้มองไปทางเขา กลับยื่นมือไปบนแผนที่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)