ฟู่เสี่ยวกวนรับป้ายหยกมาแล้วรีบออกไปทันที ฮ่องเต้เผยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูสิ ข้ารู้เลยว่าเขาใส่ใจมากแค่ไหน”
“ฝ่าบาท หากในกรณีที่ฝั่งตะวันออกยังคงมีสงครามเกิดขึ้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ต้องสู้ มิใช่ว่ายังมีเสบียงสนับสนุนสงครามในครั้งนี้ตั้งหนึ่งเดือนรึ ยังต้องกลัวอันใด”
ต่งคังผิงครุ่นคิด ความจริงก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หากฝั่งตะวันออกมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเป็นการฉีกหน้าราชสำนัก ซึ่งฝ่าบาทจะไม่แสดงความเมตตาอีกต่อไป โลหิตคงไหลนองทั่วไปเมืองหลวงอย่างเลี่ยงมิได้ เยี่ยงนั้นเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว
หากการคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนถูกต้อง สงครามฝั่งตะวันออกคงยังมิเกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
ฝ่าบาทจำเป็นต้องเตรียมตัว ส่วนคนที่หลบซ่อนอยู่ก็วางแผนการอย่างช้าๆ พวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากราชวงศ์หยู ย่อมไม่คาดหวังว่าราชวงศ์หยูจะเกิดความวุ่นวายขึ้น หรือแม้กระทั่งล่มสลาย เกรงว่าแม้แต่องค์ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงไม่อยากเห็นผลลัพธ์นี้
แน่นอนฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความเกี่ยวพันธ์นี้ดี ดังนั้นเขาจึงมิอยากให้ฝ่าบาทรีบร้อนลงมือกับคนพวกนั้น เพื่อเรียกคืนอำนาจ แล้วเรื่องนี้จะคลี่คลายโดยธรรมชาติ
แม้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จะเน่าเฟะ แต่ก็ล้มไม่ได้!
ไม้ล้มวานรเตลิด หากมันล้มลงมาจริงๆ บรรดาตระกูลที่ช่วยบริหารแคว้นกันมาอย่างยากลำบากหลายรุ่นก็คงสูญเสียที่พึ่งพิง สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการทำร้ายทั้งสองฝ่าย หากไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก็คงมิมีใครกล้าทำเช่นนั้น
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษรได้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มุ่งหน้าไปยังวังหลัง อาศัยป้ายหยกในมือเป็นทางผ่าน
เมื่อมาถึงด้านนอกของวังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนก็ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นป้ายหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของฟู่เสี่ยวกวน ก็พลันตื่นตกใจขึ้นมา
“คารวะคุณชาย”
“องค์หญิงเก้าเล่า?”
“เรียนคุณชาย องค์หญิงเก้านั้นเสด็จไปเยี่ยมเยียนพระชนนี จนบัดนี้ก็ยังมิเสด็จกลับมา”
“อ้อ…ตอนนี้ข้ามีสามเรื่องที่อยากจะให้เจ้าทำ”
“คุณชายโปรดกล่าว”
“เรื่องแรก มีเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบต้งถิง ณ เยว่โจว บนเกาะแห่งนั้นมีภูเขาลูกหนึ่ง นามว่าจวิ้นชาน ตรงตีนเขาจะมีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านจะมีหญิงชราแขนด้วนข้างหนึ่ง ซึ่งหญิงชราผู้นี้เลี้ยงดูเด็กสาวคนหนึ่ง เมื่อคำนวณตามปีแล้ว ปีนี้น่าจะอายุหกขวบ ข้าต้องการรู้ว่าหญิงชราแขนด้วนนั่นเป็นใคร นางทำมาหากินเยี่ยงไร ยังมีประวัติความเป็นมาของเด็กสาวผู้นั้นด้วย จำไว้ว่า ข้อมูลจะต้องถูกต้องและละเอียด”
ขันทีเหนียนชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
“เรื่องที่สอง ส่งคนตรวจสอบอารามซุ่ยเยว่ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด ข้าอยากรู้ว่าแม่ชีผู้นั้นเป็นใคร และคนที่นางติดต่อด้วยคือใคร”
“เรื่องที่สาม ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานที่ประจำการฝั่งตะวันตก”
“เรื่องที่สี่ ข้าอยากรู้ความเคลื่อนไหวทั้งฝั่งศัตรูและฝั่งเราทางตะวันออก จำไว้ การเคลื่อนไหวที่ว่านั้น! รวมไปถึงกลยุทธ์ที่ทางราชสำนักแคว้นอี๋คิดจะใช้กับราชวงศ์หยู และรวมถึงการจัดวางทหารของกองทัพทางทางตะวันออก!”
“หลังจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้นให้ส่งคนมาที่จวนข้าทันที ขันทีเหนียน จะมีปัญหาอันใดหรือไม่?”
ขันทีเหนียนโค้งกาย “สำหรับหอชิงเฟิงซี่หยู่แล้ว คุณชายมิจำเป็นต้องถามว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่ ตราบใดที่ใต้หล้ายังมีเรื่องราว หอชิงเฟิงซี่หยู่ก็สามารถตรวจสอบให้คุณชายได้ทราบอย่างชัดเจน”
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจ ดูเหมือนว่า ตนเองจะประเมินอำนาจของหอชิงเฟิงซี่หยู่ต่ำไป
“เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องขอตัวไปก่อน หวังว่าจะได้รับข้อมูลเร็ววัน”
“คุณชายโปรดเดินระวัง ข้าน้อยจะไปจัดการตามที่สั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหมุนตัวจากไป ขันทีเหนียนยืดกายตรง ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นค่อยๆสว่างขึ้น เขามองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในวังเตี๋ยอี๋
ซั่งกุ้ยเฟยอ่านหนังสือ พลางฟังคำรายงานของขันทีเหนียน แล้วพยักหน้า
“กล่าวเยี่ยงนี้…แสดงว่าเรื่องที่เขาทราบก็มีมิน้อย ข้อแรกนั้นยังมิต้องบอกแก่เขาในตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา จงถ่วงเวลาไว้ ส่วนข้อสองนั้นจัดการตามที่เขาต้องการเถิด ส่วนข้อสาม…ก็ให้เขาเถอะ ส่งข้อมูลเหล่านั้นให้เขาทั้งหมด พระมารดาขององค์ชายสี่อันกุ้ยเฟยก็คือเซวี๋ยปิงชิงน้องสาวของเซวี๋ยติ้งชาน”
……
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากพระราชวังก็ตรงไปหาซูม่อที่รออยู่ตรงนั้นแล้วพากันเดินทางกลับจวน
เขานั่งลงในหลีเฉินซวน สั่งให้ชุนซิ่วนำกระดาษหมึกพู่กันมาให้ เนื่องจากเขาจะเขียนจดหมายฉบับยาวขึ้นมา เมื่อเขียนเสร็จก็อ่านทวนอีกรอบหนึ่ง ทั้งเพิ่มเติมข้อความบางอย่างลงไปก่อนจะจดหมายนั้นส่งให้ซูม่อ
“เรื่องนี้สำคัญมาก คงต้องให้เจ้าไปส่งด้วยตนเอง”
“ไปไหน?”
“เมืองหลินเจียง นำมันไปส่งถึงมือบิดาของข้า จำไว้ ต้องถึงมือบิดาของข้าเท่านั้น! และห้ามให้ใครรู้ร่องรอยของเจ้า!”
นับตั้งแต่ที่ซูม่อรู้จักฟู่เสี่ยวกวนมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทางระมัดระวังของฟู่เสี่ยวกวน นี่แสดงว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยปากถาม “ในเมื่อไปหลินเจียง เจ้าจักให้ข้าแวะไปที่ซีซานรึไม่?”
“ไม่ต้อง หลังจากที่เจ้าไปที่หลินเจียงแล้วก็ไปที่เยว่โจว ทะเลสาบต้งถิงที่เยว่โจวมีภูเขานามจวิ้นชาน ที่ตีนภูเขานั้นมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่ ในหมู่บ้านมีหญิงชราแขนด้วนที่เลี้ยงดูเด็กสาวอายุหกขวบ สังหารหญิงชราผู้นั้นซะ แต่มิต้องลงมือกับเด็กสาวคนนั้น คอยแอบดูอยู่มุมมืดเพื่อดูสิว่าใครจะมาติดต่อกับเด็กสาวผู้นั้น ถ้าหากมีคนพาเด็กสาวผู้นั้นไป เจ้าก็สะกดรอยตามเขาไปอย่างเงียบๆ จะต้องรู้ให้แน่ชัดว่าพวกเขาจะไปตั้งหลักกันที่ใด”
“ได้!”
“จากนั้น เจ้าก็กลับมาที่เมืองหลวง ตกดึกก็หาโอกาสจุดไฟเผาอารามซุ่ยเยว่ คอยดูสิว่าแม่ชีที่นั่นจะไปที่ใด”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ซูม่อจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกแล้วหัวเราะแห้งๆ “แม่ชีผู้นี้หาใช่สตรีผู้มีคุณธรรม ข้าอยากรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์เยือกเย็นประดุจหยกสะอาดนั้นจะซุกซ่อนความดำมืดอะไรไว้”
“พูดภาษาคนสิ!”
“เอ่อ…ก็ได้ แม่ชีผู้นี้อาจจะรู้ว่าใครกันที่ต้องการจะสังหารข้า”
“จริงรึ?”
“ข้าหลอกเจ้าแล้วได้อะไรเล่า?”
“งั้นก็ให้ข้าไปจุดไฟเผาอารามคืนนี้มิดีกว่ารึ?”
“โง่จริงเชียว เจ้ายังต้องสะกดรอยตามนางอีก เจ้าจะมีเวลาพอรึ? ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกลับไปที่หลินเจียงก่อน”
ซูม่อครุ่นคิด จากนั้นก็เก็บจดหมายเข้าไปในอกเสื้อ “ศิษย์พี่หญิงจะคุ้มครองเจ้า”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)