นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 173

ภายในเรือนของฉินปิ่งจงค่อนข้างเงียบเหงา

ถึงแม้โคมไฟสีแดงจะถูกนำมาแขวนประดับ และก็ได้ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับมีเพียงไม่กี่คน

ฉินปิ่งจงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ฉินเฉิงเย่มิได้กลับมา แต่หลังจากที่ได้อ่านจดหมายที่ฉินเฉิงเย่เขียนให้เขาก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ หลานชายคนนี้รู้ความขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงแม้จะมิได้เป็นไปตามทางที่เขากำหนด แต่ในจดหมายก็ได้กล่าวว่าตัวเขากำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่อยู่ในซีซาน นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขามีความสุขจากใจจริง เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ฉินปิ่งจงก็ได้แต่ปล่อยวาง

“หลังช่วงข้ามปีเจ้าจะยังไปสำนักศึกษาหลินเจียงอีกหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามิจำเป็นต้องไปแล้ว อยู่ที่เมืองหลวงเถอะ ภายภาคหน้าข้าคงจะได้อยู่ที่เมืองหลวงนานยิ่งขึ้น”

ฉินปิ่งจงครุ่นคิด หลานชายก็ไปซีซานแล้ว ที่จวนนี้ก็มีเพียงฉินรั่วเสวียซึ่งดูมิค่อยเข้าท่าเสียเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “แบบนั้นก็ดี ข้าจักอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อความสบายใจของเหล่าบัณฑิต”

“ส่วนเรื่องนักปราชญ์เหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ คนผู้นี้พี่ชายรู้จักมากน้อยเพียงใด ? ”

ฉินปิ่งจงผงะเล็กน้อย “เหวินสิงโจวงั้นหรือ ? คนผู้นี้อายุไล่เลี่ยกันกับข้า ทั้งชีวิตนี้มาเยือนราชวงศ์หยูเพียง 3 ครา ครั้งแรกคือไท่เหอ…ประมาณรัชสมัยไท่เหอปีที่ 20 ในเวลานั้นพวกข้าต่างยังเยาว์วัย ไล่เลี่ยพอ ๆ กันกับเจ้า เขาเป็นตัวแทนราชวงศ์อู๋มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์หยูที่หลานถิงจี๋ในเทศกาลโคมไฟ และได้ประพันธ์บทกวีนามโต๊ะหยก ที่เทศกาลโคมไฟ และได้รับรางวัลบทกวีชั้นนำของเทศกาลโคมไฟในปีนั้น อีกทั้งยังได้สลักไว้เป็นบทกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟ”

“ครั้งที่สองน่าจะช่วงรัชสมัยไท่เหอปีที่ 40 ครานั้นเขาได้มีชื่อเสียงในใต้หล้าแล้ว เป็นที่รู้จักในนามบุคคลแรกของวงการวรรณคดีของราชวงศ์อู๋ ครั้งนี้เขามาที่ราชวงศ์หยูเพื่อนำบัณฑิตมาแลกเปลี่ยน เขาได้นำบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋มา 50 คน และพักที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย เขาได้อบรมและฟังพวกข้าบรรยายการสอนเช่นกัน ครานี้อยู่ที่ราชวงศ์หยูค่อนข้างนาน ประมาณครึ่งปีได้ มีข้ากับเขาและกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่วในปัจจุบัน ที่ถือว่าสนิทสนมพอควร และมักจะดื่มสุราและพูดคุยกัน ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก เขามีการวิจัยเรื่องการศึกษาที่ค่อนข้างลึกซึ้ง ตั้งแต่เขาอายุได้ประมาณ 20 ปีก็ได้เริ่มเผยแพร่และผลักดันการศึกษาในราชวงศ์อู๋และได้เกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิราชวงศ์อู๋ในยามนั้นให้สร้างสำนักศึกษาหลวงขึ้นมา บัณฑิตที่เขานำมาด้วย 50 คนในครานั้นต่างก็มีพรสวรรค์กันทั้งสิ้น พวกเขาใช้เวลาเรียนที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลาครึ่งปี หลังจากนั้นเขาก็กลับไปยังราชวงศ์อู๋”

“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การศึกษาในราชวงศ์อู๋ก็ได้เผยแพร่อย่างรวดเร็ว วรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา”

“ครั้งสุดท้าย…เป็นตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ เหวินสิงโจวและคณะทูตได้เดินทางมาแสดงความยินดี ข้าและเขาได้พูดคุยกันอย่างยาวนานอีกครา แต่ครั้งนี้กลับมิน่าพอใจ เพราะความเข้าใจในการศึกษาของพวกเราต่างกัน กล่าวให้ถูกต้อง ก็คือเขาคิดว่าการศึกษาเยี่ยงนี้มิสมบูรณ์แบบ”

“โดยสรุป เหวินสิงโจวย่อมเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ จากการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าเองก็เคยไตร่ตรอง การศึกษานี้ได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลาพันปี แท้จริงแล้วในทุกยุคทุกราชวงศ์ต่างก็มีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ปรับปรุงเพื่อให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และในตอนนี้สิ่งที่เหล่าบัณฑิตเทิดทูนก็คือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกัน จึงจะสามารถรักษาความสงบในใต้หล้าได้ ทัศนคติของเหวินสิงโจวคือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกัน… แน่นอนว่าผู้ที่ได้ศึกษาย่อมเข้าใจ ส่วนสำหรับเหล่าผู้ที่มิเคยได้เข้าศึกษา ก็มิสามารถควบคุมพวกเขาได้ ดังนั้นใต้หล้าจึงได้มีผู้ร้ายในหลายรูปแบบ เช่น หัวขโมย มือสังหาร เหล่ากบฏและอื่น ๆ นอกจากความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกันที่เขาได้เสนอออกไป ก็ยังควรมีกฎหมาย คำอธิบายของเขาในเรื่องกฎหมายคือกฎระเบียบ ข้อบังคับ ใช้กฎระเบียบกำหนดบรรทัดฐานการกระทำของผู้คน และใช้ข้อบังคับกำหนดความหนักเบาการกระทำของพวกเขา หลังจากบัญญัติบทลงโทษและประกาศออกไป จากนั้นผู้คนจึงได้รู้ว่าเรื่องใดกระทำได้ เรื่องใดมิสามารถกระทำได้”

ฉินปิ่งจงกล่าวเสียมากมายในคราเดียว ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รู้จักเหวินสิงโจวในเบื้องต้นผ่านคำพูดนี้แล้ว

คนผู้นี้…ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

เขาได้ข้ามผ่านการศึกษาของยุคนี้ไปแล้ว และได้สร้างสถานการณ์ใหม่ขึ้นมา หากวิธีการศึกษาของเขาได้ถูกเผยแพร่ในราชวงศ์อู๋มากพอ เยี่ยงนั้นราชวงศ์อู๋ก็จะเป็นแคว้นแรกในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนจากการปกครองของมนุษย์ไปเป็นนิติธรรม

สำหรับเหวินสิงโจวผู้นี้ เขาได้ยืนอยู่ในจุดที่สูงจุดใหม่แล้ว สำหรับแคว้นของราชวงศ์อู๋ ต้องเดินนำหน้าแคว้นอื่น ๆ เป็นแน่ !

“เจ้าถามเรื่องของเหวินสิงโจวด้วยเหตุใด ? ”

“เป็นเยี่ยงนี้ ในเทศกาลอาหารฤดูหนาวปีหน้าข้าจักต้องไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ที่จะจัดขึ้น ได้ยินมาว่าเหวินสิงโจวคือนักปราชญ์ของราชวงศ์อู๋ อย่างไรก็ต้องได้พบกัน จึงอยากทำความเข้าใจคนผู้นี้เสียก่อน”

“โอ้…” ฉินปิ่งจงพยักหน้าเล็กน้อย เงียบไปอึดใจแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าเจอเขา ฝากนำคำพูดของข้าไปบอกกับเขาด้วย”

“พี่ชายกล่าวมาเถิด”

“กล่าวว่า… หลังจากที่ได้ครุ่นคิดมาหลายปี ข้าคิดว่าเขาถูกต้องแล้ว หากเขาได้เขียนตำราขึ้นมาแล้ว ขอให้เขานำมาให้ข้าอ่านด้วย”

……

…..

พวกเขาพูดคุยกันจนถึงยามพลบค่ำ ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีดำของค่ำคืนไปเสียแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานบอกลาฉินปิ่งจง และกลับไปยังจวนต่ง

ระหว่างทางต่งชูหลานก็ได้เอ่ยถามคำพูดนั้นของฉินปิ่งจง “อาจารย์ฉินคิดว่าเหวินสิงโจวคิดถูกแล้ว…เยี่ยงนี้มิใช่ว่าจะส่งผลกระทบขนาดใหญ่แก่ระบบการศึกษาของราชวงศ์หยูหรือ ? ”

“ประวัติศาสตร์มักก้าวไปข้างหน้า เมื่อประวัติศาสตร์พัฒนาไปได้ระดับหนึ่ง การศึกษาก็จำต้องมีความก้าวหน้า ความจริงข้าก็คิดว่าทัศนคติของเหวินสิงโจวเป็นสิ่งที่ถูก เพียงแต่…ยังมิสมบูรณ์แบบ”

ต่งชูหลานก็รู้สึกว่าประหลาด เจ้าเพียงได้ฟังมุมมองที่แปลกใหม่ก็รู้สึกว่าไม่ดีพร้อมแล้วรึ ?

“เยี่ยงนั้นเจ้าลองกล่าวว่าเยี่ยงไรที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “หากข้ากล่าวว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์มิใช่สิ่งที่ถูกต้อง เจ้าจักรายงานข้าหรือไม่ ? ”

ต่งชูหลานจ้องเขาเขม็ง “ไร้สาระ ! ความคิดของเจ้าอันตรายอย่างยิ่ง อย่าได้กล่าวออกไปเชียว”

“เฮ้อ… ข้ารู้ ดังนั้น เรื่องการเขียนบทความ ข้ามิได้ใจกล้าถึงเพียงนั้น”

เมื่อกลับไปยังจวนต่ง ต่งคังผิงก็ได้ถึงเรือนแล้ว เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานกลับมาแล้วก็โบกมือเรียก ทั้งสองคนเดินเข้าไป และนั่งลงเบื้องหน้าต่งคังผิง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)