นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 176

สรุปบท ตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

สรุปตอน ตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่ – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet

ตอน ตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่ ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

ตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่

ซูเจวี๋ยมองไปยังซูซูด้วยท่าทางประหลาดใจ ซูซูมองมายังเขาและกะพริบตาให้กับเขาหนึ่งครั้ง

ซูเจวี๋ยนึกในใจว่าศิษย์น้องหกนี้แม้จะมีนิสัยเป็นสตรีแปลกประหลาด แต่นางมิเคยยอมเสียเปรียบผู้ใด…มองดูแล้วซูซูต้องการเงินงั้นหรือ ? เอาเถอะ อย่างไรเสียก็ต้องมีผู้จ่ายเงินค่าอาหารอยู่ดี

เถ้าแก่เนี้ยเดินสวมผ้ากันเปื้อนออกมา นางเช็ดมือทั้งสองข้างที่ผ้ากันเปื้อนนั้นแล้วเอ่ยถามว่า “แม่นางรับอะไรดี ? ”

ชายผู้นั้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไปๆๆ พวกเรายังมีอาหารเพียงพอ”

เถ้าแก่เนี้ยได้ยินก็ตกตะลึง คนพเนจรพวกนี้นางมิกล้าขัดใจ แต่แม่นางผู้นี้รูปร่างหน้าตางดงามยิ่ง ในวันสำคัญเช่นนี้เหตุใดจึงมาที่นี่กัน ? น่าสงสารจริง อากาศหนาวเพียงนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ รองเท้าก็มิสวมใส่ เห้อ…เท้านั่นขาวซีดราวกับหิมะ นางพบเจอกับคนพเนจรเช่นนี้ช่างน่าอดสู จะทำเยี่ยงไรดี ?

เถ้าแก่เนี้ยขยิบตาให้ซูซู แต่นางคล้ายกับไม่รู้สึกใด ๆ คิ้วนางขมวดขึ้นแล้วจ้องไปยังชายผู้นั้นว่า “ข้ามิกินเศษเดนของพวกเจ้าหรอก หากมิมีเงินก็ไสหัวไปซะ ! ถ้ามีเงินก็สั่งอาหารให้ข้าใหม่…นี่เจ้า แท้จริงแล้วมีเงินหรือไม่ ? หากมิมีก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่ามาทำอวดเก่งต่อหน้าข้า !”

หลู่เฟิงชะงักลงชั่วครู่ ในฐานะหนึ่งในจินกังทั้งแปดของกงเซินฉาง เขาบุกป่าฝ่าฟันมาทั่วทิศกว่าสิบปี นี่เป็นคราแรกที่ได้พบสาวงามเช่นนี้ อีกทั้งเป็นคราแรกที่ถูกสาวงามเช่นนี้ดูถูก

เขาเดินมาด้านหน้าซูซู เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า 10 ตำลึงแล้วตบลงไปที่โต๊ะ

“แม่นาง เงินทองข้ามากมายยิ่งกว่าสิ่งใด !” จากนั้นเขาก็เดินจากไป เงินนั้นฝังลึกลงไปในโต๊ะตามแรงทุบของเขา

ซูซูมองดูเงินบนโต๊ะแล้วเบิกตากว้าง

“โอ้โห……ไม่เลวนี่ ! เจ้ามีเงินจริง ๆ ด้วย ถ้าเช่นนั้น…เรามากินข้าวก่อนดีหรือไม่ ? ”

หลู่เฟิงหัวเราะเหอะ ๆ สตรีนางนี้มองไปแล้วมิใช่คุณหนูจากจวนใดแน่ คาดว่าคงเป็นสาวใช้ของชายโต๊ะข้าง ๆ นั่น

เขามองไปยังซูเจวี๋ย มองดูแล้วคงเป็นพวกคลั่งตำรา นั่งอ่านหนังสือราวกับท่อนไม้มิขยับเขยื้อน หรือเพราะเกรงกลัวตนกัน

เขานั่งลงด้านหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “อยากกินอะไรเจ้าสั่งได้ตามใจชอบ วันนี้ข้าอารมณ์ดียิ่ง”

ซูซูดีใจยิ้มออกมา แล้วกล่าวกับเถ้าแก่เนี้ยว่า “นี่ที่มีอะไรขึ้นชื่อบ้าง นำมาให้หมด ส่วนค่าอาหารเขาเป็นคนจ่าย เจ้างัดออกมาจากโต๊ะเองแล้วกัน”

หลู่เฟิงตกตะลึง นี่เป็นเงิน 10 ตำลึงเชียว สถานที่เช่นนี้ต่อให้กินจนเต็มโต๊ะ ก็ประมาณ 1 ตำลึงเท่านั้น !

เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย เนื่องจากการปล้นแต่ละทีมิใช่เรื่องง่าย อีกทั้งการเดินทางมาครั้งนี้มิใช่เพื่อปล้น แต่เพื่อหาวิธีช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยน ซ่งต้าเป่าและหวงซื่อหลาง

แต่แม่นางนี้ได้กล่าวออกไปแล้ว หากเขามิตอบตกลงคงจะถูกมองว่าเป็นพวกตระหนี่ขี้เหนียว และส่งผลต่อชื่อเสียงของเขา ดังนั้นหลู่เฟิงจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ไม่ได้ยินหรือไง ? รีบไปจัดการเข้าซี อาหารและสุราชั้นดีไปเตรียมออกมา !”

คนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็พากันหันไปมอง จากนั้นก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนต่อไป

คนที่หลู่เฟิงพามามีทั้งสิ้น 3 คน พวกเขากินดื่มอย่างสนุกสนาน ในวันนี้พวกเขาโชคดีเสียจริง ที่ได้พบแม่นางรูปงามคนนี้ คาดว่าเมื่อหัวหน้าจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว คงพานางกลับผิงหลิงด้วย เนื่องจากหัวหน้าอายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว จวบจนปัจจุบันเพิ่งจะแย่งชิงภรรยาไปได้เพียง 3 คน

เถ้าแก่เนี้ยได้ยินแล้วจึงรีบเดินเข้าไปในครัว นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเป็นกังวล

แต่นางก็ยังต้องทำหน้าที่ของตนต่อไป อีกทั้งชาวพเนจรเหล่านั้น นางเองก็ไม่กล้าต่อกรด้วย

อาหารในร้านค่อนข้างเรียบง่าย ไม่นานต่อมาเนื้อวัวจานโตและอาหารอื่น ๆ อีก 3 อย่างก็ยกขึ้นมา อีกทั้งสุราหนึ่งไห หลู่เฟิงเปิดไหสุรานั้นออก รินให้ซูเจวี๋ยและซูซู

“มาๆๆ แม่นาง การได้พบกันนับว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ชนแก้ว !”

ซูซูยกจอกสุราขึ้นมาสูดดมแล้วขมวดคิ้ว “สุรานี้มิใช่สุราชั้นเลิศ รสชาติเทียบมิได้กับสุราเทียนฉุนหรือเทียนเซียงด้วยซ้ำ…ข้าหิวแล้ว เจ้าดื่มเองแล้วกัน ข้าขอกินอาหารดีกว่า”

เมื่อเอ่ยจบก็วางจอกสุราลงอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงยกมือไปแตะซูเจวี๋ยและกล่าวว่า “กินสิ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”

ซูเจวี๋ยหยิบตะเกียบขึ้นมา หลู่เฟิงสีหน้าไม่พอใจ แม่นางผู้นี้ยังเรียกร้องดื่มเทียนฉุนและเทียนเซียง หึ ๆ ข้ายังมิเคยได้ลิ้มลอง ในขณะที่เขากำลังจะโวยวาย ซูซูก็หยิบเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปากเขา “กินเยอะ ๆ หน่อย มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะรับไม่ไหว”

หลู่เฟิงยิ้มขึ้นมา คนที่ติดตามมาอีกสามคนก็พากันหัวเราะออกมา แม่นางผู้นี้ช่างน่าสนใจจริง

“แม่นาง ข้ารับได้อยู่แล้ว กลัวแต่แม่นางจะทนมิไหว !”

“หืม ! ถ้าเช่นนั้นรีบกินเข้าเถิด กินอิ่มแล้วลองดูว่าใครจะทนไม่ไหว…ข้าขอบอกก่อนว่า หากรับไม่ไหวจะร้องไห้มิได้ และห้ามร้องโอดครวญ มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้อื่นตกใจได้”

“ดูคำพูดเจ้าสิ เยี่ยม ! ข้าชอบ ! แต่เจ้าร้องได้ ข้าชอบฟัง อีกประเดี๋ยวร้องดัง ๆ ก็ได้ ยิ่งดังข้ายิ่งชอบ”

ซูซูเบิกตาโตกว้าง เขาเป็นคนประเภทใดกัน ข้าต่อยเจ้าก็ควรเป็นเจ้าที่ร้อง ข้าจะร้องไปทำไมกัน ? ข้ามิได้มีความชอบเช่นนั้นสักหน่อย

แต่การที่ได้กินอาหารดี ๆ มื้อนี้ เดี๋ยวนางจะสนองให้ตามความต้องการของเขา

เถ้าแก่เนี้ยเดินถืออาหารมา 2 จาน ซูซูและซูเจวี๋ยก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป ส่วนหลู่เฟิงยกไหสุราขึ้นมาดื่มอย่างสำราญใจ เขามองดูนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างไม่ละสายตา

เวลาผ่านไป 1 ก้านธูป อาหารมากมายบนโต๊ะก็ถูกซูซูและซูเจวี๋ยกินจนหมดเกลี้ยง ซูซูเรอออกมาจากนั้นลุกขึ้นยืนมองไปยังหลู่เฟิงว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปหาที่ที่เหมาะสมเป็นไร ? ข้าขอบอกกับเจ้าก่อนว่า จงไปหาที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน มิเช่นนั้นหากถูกพบเข้าคงมิดี เนื่องจากเรื่องนี้อาจทำให้ผู้พบเห็นตกใจได้”

หลู่เฟิงรีบวางสุราลง “ดีๆๆ ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เนื่องจากกลางวันแสก ๆ เช่นนี้หากถูกพบเข้าคงไม่ดี หรือว่าเจ้าจะตามข้ามา ? ”

“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเชิญนำทาง”

หลู่เฟิงหันไปส่งสัญญาณให้กับทั้งสามคน ให้พวกเขานั่งรออยู่ที่นี่ เขาพาซูซูออกไปจากร้านและตรงไปยังลานกว้างที่ห่างออกไป

ซูซูตกตะลึงอ้าปากค้าง นางเอนหัวด้วยความสงสัย “ข้ากินอาหารเจ้าไปมื้อนี้ไงเล่า ? ดังนั้นจึงเป็นคู่ฝึกซ้อมให้เจ้า”

หลู่เฟิงตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ให้ตายสิ เขาไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ! นางเข้าใจเยี่ยงนั้นไปได้อย่างไร ?

แม่นางผู้นี้มีฝีมือดี จากการโจมตีเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ ตัวเขายังมิอาจหลบทัน หรือนางจะเป็นคนจากหนึ่งในสี่สำนักใหญ่กัน ?

จะทำเยี่ยงไรได้เล่า ! คงต้องโทษตนเองที่โชคร้าย

“มองดูแล้วแม่นางคงเข้าใจข้าผิดไป เอาเถอะ ๆ การที่ข้าได้เลี้ยงอาหารแม่นางมื้อนี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว ไปเถอะ เชิญแม่นางกลับไปได้”

“ได้อย่างไรเล่า ? ข้าเอ่ยคำไหนคำนั้น ข้ายังมิได้ร้องให้เจ้าฟังเลย !”

หลู่เฟิงอยากจะบอกออกไปว่าข้าไม่อยากฟังแล้ว แต่เขาก็มิได้เอ่ยออกมา เนื่องจากวินาทีนั้นเท้าของซูซูถีบเข้าที่เขาเต็มแรง

หลู่เฟิงรีบถอยหลังออกมาแล้วสะบัดแส้ในมือออกไป ซูซูยกมือทั้งสองขึ้นจากนั้นก็จับแส้ไว้นางกระตุกแส้นั้นเบา ๆ แต่หลู่เฟิงกลับรู้สึกว่าเขาได้ถูกพลังบางอย่างดึงไปด้านหน้า ทำให้เขาหน้าคะมำลงไปยังเท้าของซูซู

“โอ๊ย… !”

เมื่อแส้ในมือคลายลง เขาก็ถูกเตะให้ลอยขึ้นสู่อากาศอีกครา และตกลงมาในกองหิมะ

“ข้ามาแล้ว !”

ซูซูกำแส้ไว้ในมือ นางกวัดแกว่งไปมาและฟาดลงไปดังพั่บ ! “อ๊ากกกก… !”

นางฟาดไปร้องไป แส้นั้นตวัดไปยังหลู่เฟิง เขาส่งเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือด

“อ้าว ไหนเจ้าว่ารับไหวกัน อย่าเพิ่งร้องสิ!”

“เพี๊ยะ… !”

เสียงแส้ฟาดลงมาที่เนื้อหนังของหลู่เฟิง “อย่าร้อง !”

ซูซูตะคอกออกมาเสียงดัง แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายของหลู่เฟิง จะให้เขาหยุดร้องได้อย่างไร

“ข้าสั่งว่าห้ามร้อง ! ห้ามร้อง ! ได้ยินหรือไม่ ! …!”

หลู่เฟิงหยุดเสียงร้องลง ซูซูจึงก้มลงไปมอง “ข้ากล่าวแล้วว่าเจ้ามิอาจทนได้ เหตุใดจึงมิฟังกัน ? ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)