นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 203

มิรู้ว่าดวงจันทร์และดวงดาวสีสลัวบนท้องฟ้าได้ถูกบดบังไปตั้งแต่เมื่อใด ลมหนาวพัดเข้ามาเอื่อย ๆ รู้สึกหนาวอย่างยิ่ง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวได้กลับมาถึงจวนเยี่ยน ไฟในห้องอักษรของท่านปู่ยังคงสว่างอยู่ นางครุ่นคิด กระชับเสื้อผ้าและเดินไปทางนั้น

เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นนั่งเอนกายไว้กับพนักพิง กระแอมไออยู่ 2 ครั้ง บนใบหน้ามิอาจบดบังร่องรอยความเหนื่อยล้าเอาไว้ได้มิด

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินเข้าไปประคอง นางรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านปู่ควรพักผ่อนแต่โดยเร็วนะเจ้าคะ ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมาอาการไอก็ยังมิบรรเทาขึ้นเลย อย่าทำร้ายร่างกายเลยนะเจ้าคะ”

เยี่ยนเป่ยซียิ้มบางๆ “เฮ้อ…ปู่ชรามากแล้ว กระดูกในร่างกายก็ย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ” เขาเดินไปทางหน้าต่าง เปิดหน้าต่างที่ปิดสนิทนั้นออกไป ลมหนาวที่พัดเข้ามากระทบกับใบหน้า รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก

เขาสั่นเทาอยู่เล็กน้อย สูดดมรับอากาศหนาวนี้ และเงยหน้ามองไปบนฟากฟ้า “คืนนี้…เหตุใดจึงมืดยิ่งนัก ? ”

“คาดว่าพรุ่งนี้คงจะมีหิมะตกอีกครา ที่นี่หนาวเกินไป เข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะปิดหน้าต่างเอง”

“อย่าปิดหน้าต่างเลย ให้อากาศได้ถ่ายเทเสียบ้าง ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าเห็นสิ่งใดบ้างที่จวนฟู่ ? ”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวเล่าสิ่งที่เห็นในจวนฟู่ทั้งหมด แต่เพิกเฉยต่อเรื่องสุดท้ายที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำลายข้าวของทุกห้องของตนเอง เพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกให้นางทำเป็นมิเห็นเรื่องนี้ไปเสีย เยี่ยงนั้นก็ถือว่านางมิเคยเห็นและรับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาก่อน

“เขาได้ฝากให้ข้านำคำพูดมากล่าวกับท่านปู่เจ้าค่ะ”

“โอ้ เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ?”

“เขากล่าวว่า…เรื่องธนูสุริยะพินาศข้ารู้ดี ควรถอยไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น”

“เขากล่าวเยี่ยงนั้นรึ ? ”

“เจ้าค่ะ นี่คือคำพูดที่เขากล่าวไว้”

เยี่ยนเป่ยซีนั่งลงบนเตียง นิ้วชี้มือขวาของเขาค่อย ๆ เคาะที่ขอบเตียง และมีเสียงของความไม่พอใจดังขึ้นมาเบา ๆ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 เรื่องที่เกิดขึ้นที่กองทัพชายแดนตะวันออก ในยามนั้นได้ส่งผ่านกรมกลาโหมไปยังคณะเสนาบดี และเสมียนกลางสำนักตรวจสอบพระราชโองการจึงจะได้ทราบ

เพราะการตายในสนามรบของฉินถง ฉินปิ่งจงที่เข้าร่วมการหารือทางการเมืองของราชสำนักคิดว่าสำนวนฉบับนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย จึงร้องขอให้คณะเสนาบดีส่งคนไปตรวจสอบที่กองทัพชายแดนตะวันออก

หลังจากนั้นราชครูอาวุโสเฟ่ยจึงได้มาหาเยี่ยนเป่ยซี ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ 2 ชั่วยาม จากนั้นบนราชสำนัก เยี่ยนเป่ยซีได้ให้เยี่ยนซือเต้าส่งคนของคณะเสนาบดีไปตรวจสอบเรื่องที่กองทัพชายแดนตะวันออก

สามเดือนให้หลัง ผู้ตรวจสอบจึงได้กลับมาที่เมืองหลวง กล่าวว่าสาส์นบังคมทูลของกองทัพชายแดนตะวันออกถูกต้อง นายพลฉินถงได้พาทหารม้าบุกไปยังที่ราบสีหม่า และตกอยู่ในวงล้อมของทหารจากแคว้นอี๋ ในตอนที่กองทัพชายแดนตะวันออกได้ส่งกองทัพออกไปช่วยเหลือ นายพลฉินถงก็ได้สิ้นชีพไปแล้ว ทหารม้านับพันนายกลับมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง

นี่คือสงครามที่ราบสีหม่าในแบบฉบับราชสำนัก

เยี่ยนเป่ยซีย่อมทราบเรื่องธนูสุริยะพินาศ เยี่ยงนั้นความหมายของควรถอยไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น ย่อมหมายถึงให้ถอนตัวจากตำแหน่งนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกมาเสีย

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการตรวจสอบเรื่องราวที่ที่ราบสีหม่าอีกครากัน ?

แต่เรื่องฉ้อโกงในปัจจุบันก็ทำให้ขุนนางต่างอยู่กันอย่างมิเป็นสุขกันถ้วนหน้า หรือว่าฮ่องเต้จะทรงมีความคิดที่จะลงมือกับกองทัพชายแดนตะวันออกในเวลานี้เยี่ยงนั้นรึ ?

แน่นอนว่า หากเรียกเยี่ยนฮ่าวชูกลับมา ดาบในครานี้ก็จะมามิถึงหัวของตระกูลเยี่ยน เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้แล้ว ว่าเป้าหมายของเขาคืออำนาจของตระกูลเฟ่ย

รากฐานอำนาจของตระกูลเฟ่ยในกองทัพนั้นฝังลึกยิ่ง ในอดีตมีเฟ่ยอันเป็นแม่ทัพของกองทัพชายแดนทางใต้ ถึงแม้เฟ่ยอันในตอนนี้จะซ่อนตัวอยู่ในเขตหนานหลิง แต่เขาก็ควบคุมกองทัพชายแดนทางใต้มาถึง 20 ปีเต็ม !

และเฟ่ยปังก็เคยควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกถึง 15 ปี ใช้การสละชีพในที่ราบสีหม่าทำข้อตกลงกับเยี่ยนซือเต้าเพื่อโยกย้ายไปยังเสนาบดีกรมกลาโหมนี่ก็ใกล้จะ 8 ปีแล้ว ในแปดปีนี้ก็มิรู้เหมือนกันว่าเขาใช้อำนาจมืดวางกำลังคนไว้ที่กองทัพใหญ่แต่ละชายแดนเท่าใด

และในตอนนี้เฟ่ยอู่ก็ได้เป็นผู้บัญชาการทหารม้าเกราะเบาของกองทัพชายแดนตะวันออก ใคร่ครวญดูแล้วแผนการอำนาจของตระกูลเฟ่ยต้องการให้เฟ่ยอู่กุมกองทัพชายแดนตะวันออกไว้ให้ได้

จากที่ดูในตอนนี้ ผลประโยชน์ของการสมคบคิดนี้ ตระกูลเยี่ยนมิได้มีผลประโยชน์ร่วมด้วยแต่อย่างได้ แต่นี่กลับทำให้ตระกูลเฟ่ยมีอำนาจมากยิ่งขึ้น

คาดการณ์พลาดไปหมดแล้ว !

เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ในใจกลับครุ่นคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงได้เพียงกี่วันกัน ? เหตุใดจึงทราบเรื่องราวเสียมากมาย ? หรือว่าฮ่องเต้และพระสนมซั่งจะไว้วางใจเขาถึงเพียงนั้นเชียวรึ ?

หรือว่าฮ่องเต้และพระสนมซั่งได้ตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายของสวี่หยุนชิงและฟู่ต้ากวน ?

คิดไปแล้วก็น่าจะเป็นเยี่ยงนั้น มิเช่นนั้นอาศัยความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว เขาจะทราบเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วได้เยี่ยงไร ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไกลจากกองทัพชายแดนตะวันออกไปถึง 1,000 ลี้

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเบี้ยในพระหัตถ์ของฝ่าบาท เยี่ยนเป่ยซีมั่นใจในจุดนี้อย่างมาก เนื่องจากเบี้ยนี้ได้ชี้ไปทางกองทัพชายแดนตะวันออก เยี่ยงนั้นในท้ายที่สุดก็จะกลืนกินอำนาจของตระกูลเฟ่ยในเมืองหลวงเป็นแน่

ความอยากนี้ค่อนข้างใหญ่โตนัก ต่อให้ฝ่าบาทจะกลืนกินอำนาจของตระกูลเฟ่ยได้ ก็เกรงว่าเบี้ยตัวนี้จะถูกกำจัดหายไปจากกระดานเช่นกัน

เสียงนิ้วเคาะกับขอบเตียงได้หยุดลงแล้ว เยี่ยนเป่ยซีกล่าวกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสียงเรียบว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็จะพักผ่อนแล้วเช่นกัน”

เยี่ยนเสี่ยวโหลวขอตัวลาและเดินออกไป ต้วนหยุนโฉวก็เดินเข้ามา

“ฟู่เสี่ยวกวนมิตาย เมืองหลวงจะมิสงบสุข”

เยี่ยนเป่ยซีเงียบไปอีกอึดใจ “เขาตายมิได้ ภายภาคหน้ามิต้องให้ความสนใจแก่ฟู่เสี่ยวกวนอีก ลองมองออกไปให้ไกลอีกสักเล็กน้อย และให้ความสนใจทางตะวันออกเถิด”

…..

ฮั่วหวยจิ่นควบม้าเพียงลำพังไปตามถนนเส้นใหญ่

แสงไฟริมถนนใหญ่แกว่งไหวไปมาตามสายลม และทำให้เงาของเขาถูกดึงจนรูปร่างเปลี่ยนไปดูแล้วช่างประหลาดยิ่งนัก

เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า มันมืดมิดราวกับถูกทาทับไปด้วยน้ำหมึก

“หิมะจะตกอีกแล้วรึ ! แต่เดิมคาดว่าฤดูหนาวทางตะวันออกหนาวมากแล้ว แต่ฤดูหนาวของทางใต้ก็มิได้ต่างกันสักเท่าใดเลย !”

เขาบ่นอีกครา “ถ้ามีสุราสักขวดคงจะดีมิน้อย”

“ข้ารู้จักสถานที่ที่หนึ่งที่มีสุรา” องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ลงมายังเบื้องหน้าของเขา ฮั่วหวยจิ่นลงจากม้าและกำลังจะโน้มคำนับ หยูเวิ่นเต้าโบกมือ “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ?”

“ข้าจะไปจวนฟู่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)