สรุปตอน ตอนที่ 225 ตีกลองส่งดอกไม้ – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 225 ตีกลองส่งดอกไม้ ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 225 ตีกลองส่งดอกไม้
แม้ว่าสายลมที่พัดมาจากแม่น้ำจะแผ่วเบา แต่เหตุเพราะอากาศหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก สายลมได้พัดผ่านใบหน้า เขารู้สึกราวกับมีดบาด
ฟู่เสี่ยวกวนยืนรับลมหนาวจากแม่น้ำเพียงลำพัง สายตาจ้องมองไปยังเงาจันทร์เต็มดวงที่อยู่บนผืนแม่น้ำฉินหวาย มันถูกสายลมยามค่ำคืนพัดขึ้นลงทำให้ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่น ฉีกขาด แตกสลาย และกลับมารวมตัวใหม่วนเวียนอยู่เฉกเช่นนั้น
“เจ้าดูสิ่งใดอยู่กัน ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ดูแสงจันทร์สิ เจ้าดู ดวงจันทร์ที่อยู่บนผิวน้ำดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าบนท้องฟ้าเสียอีกใช่หรือไม่ ? ”
ซูซูเบะปากและไม่พอใจอย่างมาก “เจ้านี่นะ เหตุใดจึงชอบทำตัวเหมือนกันกับท่านอาจารย์ ข้าบอกว่า ข้า ! หิว ! แล้ว ! ”
“ได้ได้ได้ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงยอมแพ้ “ขึ้นไปกันเถอะ”
ภายใต้การนำทางของซั่งกวนเหมี่ยว ทั้งสี่คนก็ได้ขึ้นไปยังเรือหรูของหงซิ่วจาว และตรงไปยังชั้นสาม
ชั้นสามในเวลานี้เหลือโต๊ะเพียงหนึ่งตัวและมิมีที่นั่งอื่นอีก ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่ตรงนั้น เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่นี่มีแต่คนหนุ่มสาว ทั้งยังเป็นเหล่าเยาวชนทางวรรณกรรม
เสวี่ยเฟยเฟยมิได้ร้องเพลงอยู่ที่นี่ คนหนุ่มสาวเหล่านั้นต่างกำลังกระซิบกระซาบ สายตาของทุกคนในยามนี้จึงตกอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน
และแล้วซั่งกวนเหมี่ยวก็ได้เปิดปากขึ้น “สมาคมกวีหลานถิงได้เหมาที่นี่ เพื่อที่จะได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานกวีกับท่าน เชิญนั่ง ! ”
และก็ได้มีชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าเดินออกมา เขาเดินมาถึงด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน และโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ตัวข้า ฉินเหวินเจ๋อ เคยได้พบกับคุณชายฟู่แล้ว”
“พี่ฉินเกรงใจแล้ว…ความจริงอีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สำนักศึกษาอยู่แล้ว พวกท่านมิจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้เลย”
“พวกข้าทราบดี เพียงแต่ตั้งแต่เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีที่แล้ว ทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของน้องฟู่เป็นที่แพร่หลายในเมืองหลวง ข้าและคนอื่นต่างก็ชื่นชมและอยากจะพบเจอน้องฟู่ แต่ตอนนั้นน้องฟู่ยังอยู่ที่หลินเจียง ข้าจึงมิอาจทำได้ตามใจอยาก ต่อมาก็มีความฝันในหอแดงของน้องฟู่เล่มนั้นที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอีกหน ข้าและคนอื่นต่างก็เลื่อมใสกันมากยิ่งขึ้น อยากจะเห็นความสง่างามของน้องฟู่ด้วยตาของตนเอง ต่อจากนั้นน้องฟู่ก็ได้มายังเมืองหลวง แต่เหมือนน้องฟู่จะยุ่งอยู่เล็กน้อย แต่เดิมพี่เยี่ยนซีเหวินได้บอกกับข้าและคนอื่นว่าผ่านไปสักสองสามวันจะแนะนำให้ข้าและคนอื่น…ด้วย ดังนั้นจนมาถึงตอนนี้ หากข้ายังรอและมิเริ่มออกตัว เกรงว่าการจะได้พบเจอน้องฟู่ก็มิรู้ว่าจะต้องรอไปถึงไหนเดือนไหน”
ฉินเหวินเจ๋อกล่าวด้วยท่าทางวางตัวดี ท่าทางสง่างามนี้เหมือนกันกับฉินปิ่งจงเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะมองเขาด้วยความชื่นชมไม่ได้
ซูซูเบะปากอีกครา เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน และเหลือบมองไปยังฉินเหวินเจ๋อ ครุ่นคิดว่าเหตุใดแค่ทานข้าวจึงยากถึงเพียงนี้ แต่ละคนท่าทางเสแสร้งจอมปลอม นี่คือหน้ามนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์ร้ายที่อาจารย์กล่าวอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสแสร้งแกล้งทำรึ หรือว่าจะซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้มกัน
อยากจะแทงเขาสักสองดาบ !
ฟู่เสี่ยวกวนคำนับให้กับทุกคนและกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ทุกท่าน ข้ามิได้เจตนาแต่อย่างใด มีคำกล่าวว่าผู้ใฝ่ตำราเป็นผู้มีคุณธรรมสูง แท้จริงแล้วข้ามิใช่ผู้ใฝ่ตำรา ข้าเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหนึ่ง ดังนั้นคุณธรรมสูงส่งมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า เพียงแต่ธุระของข้านั้นมีอยู่มากมาย จึงทำให้การเดินทางไปยังสำนักศึกษาล่าช้าไป มามามา นำสุรามา พวกเราต่างก็เป็นชายหนุ่มของราชวงศ์หยู เมินมารยาทและข้อจำกัดเหล่านั้นไปเสีย มาดื่มด้วยกันเถิด ! ”
คำพูดนี้สามารถเอาชนะใจชายหนุ่มกลุ่มนี้ได้ในทันที ดังนั้นจึงมีเสียงปรบมือ และเสียงกู่ร้องดังขึ้นมา
“สุรามา ! ”
“ไม่เมาไม่เลิกรา ! ”
“น้องฟู่เป็นคนที่พิเศษอย่างแท้จริง ! ”
“นี่แหละคือความสง่างามของชายหนุ่มราชวงศ์หยู ! ”
“…..”
ทุกคนนั่งลง โต๊ะของฟู่เสี่ยวกวนนอกจากต่งชูหลานและซูซูแล้ว ทั้งยังมีซั่งกวนเหมี่ยว ฉินเหวินเจ๋อ รวมไปถึงบัณฑิตอีกสามรายที่ฉินเหวินเจ๋อเชิญมา
สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา อาหารและสุราถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ซูซูมิได้มีเกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลากระรอกเข้าปาก…รสชาติแย่เทียบกับที่คุณนายต่งทำมิได้เลย !
สำหรับซูซูที่เป็นสตรีบอบบาง ฉินเหวินเจ๋อได้เหลือบมองนางอยู่หลายครา แต่มิใช่เพราะนางไร้มารยาท แต่เพราะซูซูสวยงามเกินไป บัดนี้นางราวกับรูปปั้นที่ไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย
เขาดึงสายตากลับมามองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยแนะนำ “ผู้นี้คืออู๋เชวีย เป็นรองหัวหน้าของสมาคมกวีหลานถิง ข้าชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก บ้านของเขาอยู่ที่เขตหนานหลิง มีพื้นฐานเป็นชาวเกษตร แต่พี่อู๋กลับอาศัยความพยายามอย่างไม่ลดละจากซิ่วไฉจนเขาได้เป็นจวี่เหรินและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษา”
อู๋เชวียตื่นเต้นอย่างมาก เขามิได้มีเรื่องข้องเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมากนักในเมืองหลวง และคนระดับฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นแบบอย่างที่บัณฑิตต่างเลื่อมใส ในวันนี้ที่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่กับในความฝัน
เขาลุกขึ้น เดินมายังด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน และรินสุราจนเต็มจอกให้กับฟู่เสี่ยวกวน
“ข้ามีนามว่าอู๋เชวีย ขอดื่มให้กับคุณชายฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ผู้คนมักกล่าวว่าครอบครัวที่ยากจน ยากที่จะมีบุตรชายที่จะประสบความสำเร็จ ข้ามิคิดเยี่ยงนั้น พี่อู๋ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี หมดจอก ! ”
ทั้งสองชนจอกและดื่มจนหมด อู๋เชวียก็ได้รินให้ฟู่เสี่ยวกวนจนเต็มอีกครา ก่อนจะกลับไปนั่งที่
ชายหนุ่มอู๋เชวียผู้นี้ถือว่าใช้ได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้จดจำชื่อของเขาไว้แล้ว
เสียงกลองหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนที่ถือดอกไม้อยู่นั้นก็ได้ยืนขึ้นมา
เสวี่ยเฟยเฟยดึงผ้าคลุมที่บดบังสายตาลง และหันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปิดปากที่ลอบยิ้มอยู่ทันพลัน นึกไปถึงตอนที่โต้ตอบกับเสวี่ยเฟยเฟยอยู่ชั่วครู่ มาได้เวลาอย่างพอดิบพอดี
ฟู่เสี่ยวกวนก็อับจนคำพูดยิ่ง เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้กัน ?
เสวี่ยเฟยเฟยกล่าวขึ้นมา “นี่คือสุราจอกแรก ท่านควรดื่ม” นางกล่าวพลางเดินเข้าไป หยิบขวดสุราและรินให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง แต่กลับถูกต่งชูหลานรับไป
“เกรงว่าเฟยเฟยอาจจะไม่ทราบ เมื่อครู่ข้าได้กล่าวกับทุกคนไปแล้ว เขา…มิสามารถดื่มได้มาก เพราะเขาต้องไปงานกวีเทศกาลโคมไฟในวันพรุ่งนี้”
เสวี่ยเฟยเฟยครุ่นคิดชั่วครู่และพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกข้าวาดหวังว่าท่านจะประพันธ์บทกวีที่ดีกว่าออกมาได้ในงานกวีเทศกาลโคมไฟวันพรุ่งนี้ หากล้มเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ผู้นั้นลงได้คงจะเป็นเรื่องดีมิน้อย”
บทกวี ‘โต๊ะหยก’ ของเหวินสิงโจวในปีนั้นในวันนี้ยังคงเป็นกลอนลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของงานกวีเทศกาลโคมไฟ สำหรับบัณฑิตต้าหยูที่อยู่ในยุควรรณกรรมรุ่งเรือง นี่คือความอับอายอย่างแท้จริง นี่ก็ได้ผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับยังมิมีผู้ใดที่จะประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีกว่าของเหวินสิงโจว
ดังนั้น ก็เป็นความคาดหวังของบัณฑิตอีกมากมายเช่นกัน
ต่งชูหลานดื่มสุรา เสวี่ยเฟยเฟยจึงกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อครู่ก็ได้กล่าวไปแล้ว คนที่ได้รับดอกไม้ต้องทำให้ข้าสมปรารถนาหนึ่งอย่าง…ความปรารถนาของข้าคือ ให้ท่านประพันธ์บทกวีขึ้นมา”
ฝูงชนอยู่ในความโกลาหล และปรบมือเกรียวกราว ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ลอบคิดว่าโชคดีที่ขอให้ข้าประพันธ์บทกวี หากเรียกให้ข้าไปรอที่เตียง…ข้าจะรอหรือไม่รอกัน ?
“ช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้นข้านอนไม่หลับเพราะมีเรื่องจุกจิกอยู่มาก และได้อยู่ตัวคนเดียวในตอนกลางคืน ดังนั้นข้าที่อยู่ในลานบ้านก็ได้เห็นว่าดอกบ๊วยได้เบ่งบานแล้ว จึงได้คิดบทกวีขึ้นมาหนึ่งบท พอดีกับในวันนี้ที่ได้ท่องมาหนึ่งรอบ ดังนั้นจะมาแบ่งปันกับทุกท่าน”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ได้หยิบสมบัติทั้งสี่ของห้องหนังสือออกมาได้ชั่วครู่แล้ว และในตอนนี้ก็ได้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ทุกสายตาต่างมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งหน้าตั้งตาคอย
แท้จริงแล้วทุกคนในห้องนี้ต่างหันมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นบัดนี้ทั้งโถงแห่งนี้ก็ได้เงียบสงัดลง ราวกับเสียงหายใจของพวกเขาก็ได้หยุดไปเช่นกัน
เขาจะประพันธ์กวีอะไรออกมากัน ?
ความหมายของประโยคนี้ในยามที่ฟัง คาดว่าจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับบ๊วย
เขาบอกว่านอนมิหลับและอยู่คนเดียวในตอนกลางคืน คาดว่าน่าจะเป็นประกายดาบเงากระบี่จากการต่อสู้กับฮุ่ยชินอ๋องในหลายวันก่อนเป็นแน่
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)