รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ห้า
แม้จะเริ่มฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็ยังคงหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเช่นนี้
รถม้าของต่งชูหลาน 2 คันได้จอดลงที่หน้าจวนฟู่ นางมีเพียงแค่สาวรับใช้นามเสี่ยวฉีติดตามมาด้วย ของใช้ก็เพียง 4 กระเป๋า
กระเป๋าหนึ่งบรรจุเสื้อผ้า กระเป๋าหนึ่งบรรจุน้ำหอม กระเป๋าหนึ่งบรรจุสบู่และอีกกระเป๋าหนึ่งบรรจุชุดชั้นใน
ของเหล่านี้คือสินค้าล็อตแรกที่จะนำไปราชวงศ์อู่ เพื่อลองค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมและวางขาย
ฟู่เสี่ยวกวนก็แสนเรียบง่าย นอกจากพี่น้องซูทั้งสามคนแล้ว เขานำไปเพียงชุนซิ่ว แน่นอนว่ากล่องสีดำนั้นได้ใส่ไว้ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว
ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน มีรถม้าทั้งสิ้น 6 คัน ท่ามกลางแสงไฟสลัวจากข้างถนน มุ่งตรงไปยังหงหลูซื่อ
ด้านหน้าประตูใหญ่ของหงหลูซื่อ มีบัณฑิตจำนวน 100 คนยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าท่าทางชื่นชมยินดี ผู้ที่คุ้นเคยกับราชวงศ์อู่ได้เอ่ยถึงที่นั่น ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินว่า “พวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง เมืองกวนหยุนที่มีชื่อเรียกว่ากวนหยุนนั้น มันมีความหมายว่าชมเมฆา เนื่องจากมันตั้งอยู่สูง มีเมฆลอยอยู่ท่ามกลางเมือง ทิวทัศน์งดงามยิ่ง ดังนั้น…”
เสียงนั้นเบาลง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน “ดังนั้นสตรีที่เมืองกวนหยุนผิวพรรณจึงผุดผ่องราวเมฆา ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า ที่เมืองกวนหยุนนั้นมีจุดชมทิวทัศน์อยู่ 3 จุด จุดที่หนึ่งก็คือกวนหยุนถาย ที่นั่นเกรงว่าพวกเราคงไปมิได้ จุดที่สองคือจายซิงถาย ที่นั่นก็สูงมาก เกรงว่าพวกเราคงไปมิได้เช่นกัน ส่วนจุดที่สามนั้นก็คือหลิวหยุนถายตั้งอยู่ที่ทะเลสาบสือหลี่ ! ”
“ที่หลิวหยุนถาย เพียงแค่มีเงินก็ไปได้ สตรีที่นั่น หึ ๆ ๆ งดงามพอ ๆ กับหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว พวกเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเองแล้วจะรู้ แต่กฎระเบียบของหลิวหยุนถายกับหอนางโลมที่เมืองจินหลิงของเรามิเหมือนกัน เพียงเข้าไปก็ต้องจ่าย 10 ตำลึงเป็นค่าผ่านประตู ส่วนจะมีสตรีนางใดสนใจพวกเจ้าและร่วมดื่มด่ำค่ำคืนอันน่าอบอุ่นด้วยหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว”
ดังนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น หลาย ๆ คนกระซิบกระซาบกันไปมา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงยิ้มแล้วคิดว่าเจ้านี่หน้าเนื้อใจเสือเสียจริง !
บรรดาปัญญาชนมักชื่นชอบเรื่องนี้ นี่คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว
เขาลงจากรถ และพบว่าด้านนอกมีรถม้า 4 คันจอดอยู่ แต่ละคันช่างหรูหราโอ่อ่า !
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ภายใน นางโบกมือมายังฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน
ทั้งสองเดินตรงเข้าไป หยูเวิ่นหวินยิ้มขึ้น “เราทั้งสามนั่งคันนี้เถิด นั่งสบายดี เสด็จแม่ทรงสั่งทำเมื่อครั้นเดินทางกลับไปยังเมืองฉีโจวเมื่อปีกลาย บัดนี้นางได้มอบให้แก่ข้าแล้ว”
แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดี ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างมีเลศนัย ต่งชูหลานเข้าใจในความคิดของเขาจึงหันไปชายตามองเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
แต่การเดินทางมาของฉินปิ่งจงเหนือความคาดหมายของเขา
ฉินปิ่งจงเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยว่า “อย่าลืมไปถามเหวินสิงโจว หากเขามีหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการศึกษาใหม่ ฝากนำกลับมาให้ข้าด้วย”
“ท่านพี่ฉินวางใจได้ ข้าจำได้ขึ้นใจ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยท่าทางเขินอายว่า “ช่วงนี้ข้ามีเรื่องให้จัดการมากทีเดียว มิได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่จวน อย่าได้ใส่ใจไป”
ฉินปิ่งจงโบกไม้โบกมือขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ามิว่าง อีกทั้ง…ข้ากำลังวุ่นอยู่กับการเรียบเรียงตำรา เกรงว่าไม่มีเวลามากนัก หากเจ้าเดินทางไปที่จวน คาดว่าคงไม่มีเวลามากพอจะต้อนรับเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วนึกถึงประโยคที่ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยกับเขา “ท่านอายุไม่น้อยแล้ว ข้าอยากจะนั่งดื่มชากับท่านเมื่อมีเวลาและประลองหมากรุกกับท่าน เรื่องตำรานั้นท่านจงทำเป็นงานฆ่าเวลาเถิด ข้าคิดว่าหากท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทั้งหมด…ท่านพี่ โปรดฟังข้าสักประโยค ตำราเหล่านั้นจะต้องถูกเมินเฉยเข้าสักวัน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)