นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 258

สรุปบท ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

สรุปเนื้อหา ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา – นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet

บท ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ในหมวดนิยายทะลุมิติ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา

ฟู่เสี่ยวกวนพยุงชายชราผู้นั้นลุกขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แท้จริงข้ารู้ดีว่าคำพูดนี้ไร้ประโยชน์ เนื่องจากวิธีการทำนาล้าหลังยิ่ง แต่ท่านอย่าได้กังวลไป ทุกสิ่งอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”

ชายชราฝืนยิ้มออกมา เขาได้แต่นึกในใจว่าหากจะเพิ่มภาษีเป็นสองเท่า แล้วจะดำรงชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนบอกลาชายชรา แล้วพวกเขาก็กลับไปยังค่าย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามฉินเหวินเจ๋อว่า “ที่แห่งนี้อยู่ในความปกครองของเขตใด ? ”

“อยู่ในความดูแลของอำเภอหลิงสุ่ย เซิงโจว เจียงหนานตงเต้า”

“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าคล้ายกับกำลังคิดบางสิ่ง

“เจ้าทำนาเป็นด้วยรึ ? ” ซั่งกวนเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“แน่นอน ที่บ้านข้าเป็นพ่อค้าที่ดิน หากมิมีความรู้ด้านการทำนา คงจะถูกผู้เช่านาหลอกเอาเสียง่าย ๆ ”

พวกเขาพากันตกตะลึง แต่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “แท้จริงไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีหลักการเดียวกัน ต่อจากนี้หากพวกเจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนาง แต่หากมิเข้าใจภูมิประเทศและผู้คนในเขตที่ปกครอง มิรู้ถึงข้อดีข้อเสียของเขตที่ปกครอง ก็จะถูกขุนนางผู้น้อยหลอกลวงได้ ดังนั้นหน้าที่ขุนนางทั้งหลาย มิใช่เพียงนั่งอยู่ในสำนักงาน แต่จะต้องลงไปยังพื้นที่ ไปตรวจดูตามป่าเขาและผืนนา จึงจะได้รับรู้ถึงปัญหาของชาวบ้านที่เดือดร้อนกันอย่างแท้จริง เช่นนี้จึงจะเข้าใจว่าควรใช้นโยบายใดในการปกครอง จึงจะทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือเกิดประโยชน์มากที่สุด”

“ผู้เป็นขุนนางคือผู้ที่ต้องนำพาซึ่งความสุขมายังประชาชน พวกเจ้าจงจำให้ดี การเพิ่มภาษีเป็นการกระทำของขุนนางที่โง่เขลาและไร้ประโยชน์ที่สุด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้การค้าเจริญรุ่งเรือง เพียงแค่เศรษฐกิจรุ่งเรืองจึงจะสามารถจัดการกับความยากไร้ของประชาชนได้ และจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้”

บรรดาผู้ศึกษาทั้งหลายพากันครุ่นคิด และเห็นตรงตามนั้น พวกเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มองการณ์ไกลเสียทีเดียว

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ยี่สิบห้า

ขบวนรถออกมาจากเมืองจินหลิงได้ 15 วันแล้ว

พวกเขามุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน สองวันก่อนได้มีแสงแดดจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา ทำให้บรรดาพืชสีเขียวและต้นเห็ดอีกทั้งดอกไม้ป่ากำลังผุดขึ้น

ตลอดทางมานี้ ทุกครั้งที่หยุดพักผ่อน ฟู่เสี่ยวกวนมักจะเอ่ยให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจให้แก่พวกเขาฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดใหม่ของคำที่ว่าคุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้

“ประโยคนี้ พวกเจ้าเข้าใจมิกระจ่าง ข้ามิได้ตำหนิคนโบร่ำโบราณ สิ่งที่พวกเขากล่าวเอาไว้มิผิดเป็นแน่ แต่คนที่ผิดคือผู้ที่ฟังแล้วมิเข้าใจให้กระจ่าง”

ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ กำลังพากันงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ อธิบายต่อไปว่า

“ก่อนอื่น การร่ำเรียนหนังสือทำให้พวกเจ้าได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้า หากไร้หนังสือ ไร้ซึ่งผู้ร่ำเรียน เช่นนั้นมนุษย์คงจะยังหยุดอยู่ในยุคหิน เมื่อมนุษย์ได้คิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้ก้าวเข้าสู่อารยธรรม พวกเราจึงมีหนังสือที่บันทึกภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนไว้ หนังสือเหล่านี้ทำให้พวกเราได้รับอารยธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ เช่น การจุดไฟ การทำนา การทอผ้า การหล่อเหล็ก เป็นต้น สังคมจึงได้พัฒนามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่า บรรดาขุนนางเป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนาสังคมหรือไม่ ? ”

“บัดนี้ข้าจะยังมิให้คำตอบแก่พวกเจ้า จงนำกลับไปคิดทบทวนด้วยตนเอง หลังจากไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว พวกเจ้าจงเขียนคำตอบออกมาแล้วส่งให้ข้า”

ประโยคเมื่อครู่ทำให้พวกเขาพากันครุ่นคิด และทำให้พวกเขาได้รู้ว่าแท้จริงขุนนางมิได้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมเท่าใดนัก

ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ทำให้สังคมพัฒนา ทำให้ประเทศแข็งแกร่งมั่งคั่งคือสิ่งใด ?

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคำถามไว้แล้วเขาก็มิได้ใส่ใจมันอีก บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถม้าของซูเจวี๋ย

ในรถม้านี้มีทั้งสิ้น 3 คน อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนแต่งตัวคล้ายกับพ่อค้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบเขามาก่อน ซูเจวี๋ยก็มิได้แนะนำ

“นี่คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องของหยูชุนชิว ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพตะวันออก”

ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดูอย่างละเอียด หว่างคิ้วของเขาค่อย ๆ ชิดกันเข้ามา เขาเอื้อมมือไปเปิดม่านหน้าต่าง ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเปียนเฉิงถึง 200 ลี้ แต่ทว่าฝนได้เทลงมาแล้ว

ณ ค่ายกองทัพทหารใต้

มีจำนวนค่ายมากมายในที่นี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา และมีจวนหนึ่งที่โดดเด่นออกมา นั่นคือจวนของแม่ทัพใหญ่

บัดนี้สนามฝึกวรยุทธ์ในจวนแม่ทัพใหญ่ มีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง ถือตะบองยาวประมาณ 5 ฟุตกวัดแกว่งไปมา

แสงที่ตกกระทบมานั้น ทำให้เกือบที่จะมองมิเห็นรูปร่างของตะบองนั้น

หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยลงมา แต่ก็มิอาจกระทบกับตะบองนั้นได้

จากนั้น ได้ปรากฏชายวัยกลางคนสวมชุดแน่นหนาเดินถือดาบเล่มยาวเข้ามายังสนามฝึก ดาบนั้นดูน่าเกรงขามคล้ายกับสามารถกลืนกินภูผาลำธารเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้น !

นางผู้นั้นตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี มารับตะบองจากข้าไปเสีย ! ”

เมื่อเห็นแสงสีเงินหมุนวน ตะบองในมือของนางก็เหวี่ยงออกไปกระทบกับดาบนั้น “เฉ้ง ! ! ! ” ดาบถูกตะบองปัดออกไปด้วยแรงมหาศาล และร่างของนางก็กระโดดขึ้นจากพื้น ตะบองหวดลงมาทางศีรษะของชายผู้นั้นท่ามกลางสายฝน

ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาบ้างว่า “แม่นาง จงรับดาบข้าไปเสีย !”

ทั้งสองคนต่อสู้กันอยู่สิบกว่าที จนกระทั่งดอกท้อที่มุมกำแพงร่วงหล่นลงมาจึงได้หยุดลง

“แม่นางช่างเก่งกาจยิ่ง !”

“ท่านก็เช่นเองก็เช่นกัน !”

เมื่อทั้งสองกลับมายังห้องพักผ่อน บ่าวรับใช้ได้เดินถือแก้วชาและผ้าร้อนส่งมอบให้ “ท่านแม่ทัพ ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อสักครู่ท่านเซวียนเดินทางมา กล่าวว่า…ขบวนเสด็จขององค์หญิงเก้ามิได้หยุดพักที่ชังถง นับจากวันเวลาแล้ว คาดว่าในค่ำคืนนี้จะพักที่ศาลาพักม้าชังซี”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)