ดึกดื่นมืดค่ำ ไฟในห้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลว ณ จวนเยี่ยนยังคงสว่างโร่อยู่
ทะเบียนสมรสเล่มใหญ่ถูกเยี่ยนเสี่ยวโหลวจัดเก็บอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับนั่งลงข้างโต๊ะอักษรและมองไปยังฟากฟ้าด้วยท่าทีเหม่อลอย
นึกย้อนกลับไปในอดีต นางได้รู้จักกับเขาจากความฝันในหอแดง ราวกับว่านางได้เห็นเขาในหนังสือเล่มนั้น
ย่อมเป็นต้นอวี๋ซู่ลู่ลมที่มีท่วงท่าสง่างามและโดดเด่น
หลังจากนั้นก็เกิดบทกวีทำนองเพลงสายน้ำขึ้นในค่ำคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ คนผู้นั้นเริ่มมีตัวตนในใจของนางมากยิ่งขึ้น
คนแบบไหนกันที่จะเขียนหนังสือเช่นนั้น และยังเขียนบทกวีเยี่ยงนั้นออกมาได้อีก ?
หัวใจที่บังเกิดรักแรกของเด็กสาว ได้มอบไว้ให้กับเขาทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นเขาก็ได้มายังเมืองหลวง ในที่สุดก็ได้พบกับเขา เป็นต้นอวี๋ซู่ที่ลู่ลมอย่างแท้จริง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยกวีและตำราอย่างแท้จริง
ที่หอซื่อฟางเขาดื่มสุราและได้ประพันธ์ ‘คลื่นลมทราย ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา’ ขึ้นมา นั่นเป็นคราแรกที่นางได้เห็นเขาประพันธ์ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วด้วยตนเอง และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่านั่นคือคนที่นางอยากแต่งงานด้วย
หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ คุ้นชิน หลังจากนั้นเขาก็ดูห่างเหินกับนางไป
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหัวเราะ ในใจนึกขอบคุณเหล่าคนร้ายในคืนเทศกาลโคมไฟเหล่านั้น หากมิใช่เข้าไปขวางทางดาบ น่ากลัวว่าเขาจะยังคงมิตอบรับนาง
กล่าวกันว่าคนร้ายเหล่านั้นยังคงถูกขังอยู่ในคุกของจวนผู้ว่าเขตจินหลิง พรุ่งนี้ควรจะนำอาหารไปเยี่ยมพวกเขาเสียหน่อย
และแล้วตอนนี้เรื่องราวก็ได้ยุติลง นางก็สบายใจ แต่กลับคิดถึงเขาที่ไปราชวงศ์อู่ขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด มันอดที่จะหดหู่ไม่ได้ รู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
นี่เป็นเพียงวันแรกที่เขาไปจากเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ !
เมืองกวนหยุนเมืองหลวงของราชวงศ์อู่ที่ห่างไกล ถึงแม้ค่ำคืนจะมืดมิด แต่ดวงดาราบนฟากฟ้ายังคงสว่างไสว
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนลานชมทิวทัศน์เพียงลำพัง ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
ดวงตาสุกสกาวมองไปยังดวงดาราบนท้องนภา คาดว่าเขาคงออกเดินทางมาแล้ว
ลอบคิดว่า พรุ่งนี้ข้าจะพากองกำลังทหารหญิงของข้าออกไปจากเมืองกวนหยุน และจะมุ่งหน้าไปทางเดินฉีซานเพื่อต้อนรับเขา !
เยียนเอ๋อร์กล่าวว่าเขาได้มีทะเบียนสมรสอยู่ 2 ฉบับแล้ว แต่นางมิได้ใส่ใจอันใด
อาศัยรูปโฉมที่งดงามและความสามารถของตน มีหรือจะสู้กับสตรีนามต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมิได้ ?
เมื่อครุ่นคิดถึงข้อความในจดหมายของเยียนเอ๋อร์อีกครา เหมือนกับว่าเขามิได้ให้ความสนใจกับความงาม แต่เป็นความรู้สึก ใต้หล้านี้มิมีแมวที่ไม่กินปลา อู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิเชื่อ
เพียงนางยกยิ้ม ดวงดาวบนฝากฟ้าก็จางแสงลงทันพลัน
…..
…..
ท้ายที่สุดแล้วมีสตรีมากน้อยเพียงใดที่อิจฉาความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน นั่นก็มิสามารถนับได้
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนก็มิเคยครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ขบวนรถออกเดินทางต่อไป มิได้เกิดอุบัติเหตุอันใดในระหว่างการเดินทาง
บางครั้งฟู่เสี่ยวกวนก็ไปขึ้นคันเดียวกับซูม่อเพื่อพูดคุย และเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำของซูม่อ
บางครั้งก็ขึ้นไปคันเดียวกับซูเจวี๋ยเพื่อคุยธุระ แต่ส่วนมากเขาจะอยู่ในเกี้ยวของหยูเวิ่นหวิน
รถม้าคันนี้นั่งได้สบาย ทั้งยังมีสตรีที่งดงามถึง 2 คนให้เชยชม จิตใจย่อมมีความสุข ได้ขยับร่างกายเป็นครั้งคราว นั่นคือแสงฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ที่สิ้นสุด
ยามบ่ายในสิบวันให้หลัง
ขบวนรถได้หยุดลงที่ท้องทุ่งที่หนึ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)