สรุปตอน ตอนที่ 29 ไม่มีเวลาว่าง – จากเรื่อง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet
ตอน ตอนที่ 29 ไม่มีเวลาว่าง ของนิยายทะลุมิติเรื่องดัง นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 29 ไม่มีเวลาว่าง
“พรุ่งนี้ข้าก็จะเดินทางออกจากหลินเจียงแล้ว คุณชายฟู่จะยินยอมแต่งกวีให้ข้าสักบทได้หรือไม่?”
หยูเวิ่นหวินมิได้มองฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครา เปิดฝาปิดออก และละเลียดชิมที่ริมฝีปาก
นางเองก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าเหตุใดตัวนางถึงได้กล่าวออกไปเยี่ยงนั้น
นางวาดหวังเพียงเล็กน้อยว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยินยอมแต่งกวีให้นางสักบท แต่ลึก ๆ ในใจของนางก็กังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะปฏิเสธ เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิมีเหตุผลใดที่จะแต่งกวีให้แก่นาง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากัน จนถึงตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิรู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร เขาจะรับมือเยี่ยงไรกัน?
หยูหงอี้เองก็เหลือบมองหยูเวิ่นหวินด้วยความประหลาดใจ รับรู้ได้ว่าองค์หญิงเก้าทำตัวผิดแปลกไป แต่เขาเองก็พูดมิได้เช่นกันว่าผิดแปลกไปตรงไหน
สำหรับเขา หากองค์หญิงต้องการกวีหนึ่งบท ฟู่เสี่ยวกวนย่อมต้องแต่งให้เป็นแน่
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้แต่งให้อย่างที่เขาคิด
ฟู่เสี่ยวกวนรินชาลงในจอกอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “แท้จริงแล้วพวกท่านมิรู้ว่าข้านั้นเป็นคนแบบไหน”
“ข้านั้น เป็นบุคคลที่ชั่วร้ายของเมืองหลินเจียงมาโดยตลอด แน่นอน ว่ามิกล้าทำเรื่องเลวร้ายใหญ่โตหรอก แต่เรื่องชั่วร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับมีมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งได้พบกับแม่นางต่ง”
หยูเวิ่นหวินวางถ้วยชาลง ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอีกว่า “ยามนั้นข้าสร้างความขุ่นเคืองให้แก่แม่นางต่ง หลังจากนั้นก็ถูกองค์รักษ์ของนางทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บที่ด้านหลังศีรษะ ท่านหมอกล่าวว่าโชคดีที่สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้ ข้าถูกปลุกด้วยไม้กระบองนั่น ทำให้ข้ารู้สึกว่าในอดีตนั้นข้าได้ทำตัวไร้สาระเกินไป จนเสียเวลาไปนานหลายปี ดังนั้นข้าจึงได้มาเปลี่ยนแปลงตนเองในตอนนี้ เพียงแค่คนเหล่านั้นยังยอมรับได้ไม่เต็มที่เพียงเท่านั้นเอง”
“สำหรับเรื่องแต่งบทกวี กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ข้านั้นมิเคยอ่านแม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า เหตุผลที่ข้าสามารถแต่งบทกวีได้ในตอนนี้ ก็ต้องขอบคุณไม้กระบองนั้นเป็นอย่างมาก สมองของข้ามีปัญหา ท่านหมอได้สรุปไว้เยี่ยงนั้น อีกทั้งท่านหมอยังกล่าวอีกว่ายังมีโอกาสที่ข้าอาจจะกลายเป็นคนโง่งม โชคดีที่จนถึงวันนี้ข้าก็ยังเป็นปกติดี แต่ขณะเดียวกันในหัวของข้าก็มักจะเกิดแสงสว่างแล่นผ่านเข้ามาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดังนั้นจึงได้มีบทกวีเหล่านั้นขึ้นมา”
“แต่สิ่งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า เช่นตอนนี้ ข้านั้นอยากจะแต่งบทกวีให้กับแม่นางยิ่ง แต่แสงสว่างในหัวของข้ากลับไม่ส่องสว่างขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย”
สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความเสียใจ และถอนหายใจเสียยืดยาว “แม่นาง มิใช่ว่าข้าไม่ยินยอม แต่ข้ามิสามารถแต่งกวีให้แม่นางได้ในตอนนี้ แม่นางโปรดให้อภัยข้าด้วย”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกทำร้ายนั้นนางก็รู้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีอาการป่วยตามมาในภายหลัง
หากอาการป่วยที่ตามมานั้นไปทางซ้ายเขาจะกลายเป็นคนโง่งม แต่หากไปทางขวาเขาก็จะสามารถแต่งกวีได้อย่างคล่องแคล่ว นี่มันค่อนข้างไร้สาระ แต่หยูเวิ่นหวินก็ต้องเชื่อ
นี่ก็เป็นการอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยินยอมไปร่วมงานชุมนุมบทกวี และยังอธิบายเรื่องที่เขาไม่ได้ศึกษาแต่กลับแต่งกวีที่ไพเราะจนน่าตกใจได้
ในใจของหยูเวิ่นหวินยังคงรู้สึกเสียใจ และคิดว่าชูหลานนั้นช่างโชคดี ยามที่จากลาเป็นจังหวะบังเอิญที่พบกับฟู่เสี่ยวกวนในยามที่หัวของเขากำลังส่องสว่าง
ณ ยามนั้น อี้หยู่ก็ได้เดินเข้ามาอีกครา
เขากระซิบกล่าวข้างกายฟู่เสี่ยวกวน “คุณชายขอรับ ข้าพาคนที่ต้องการมาแล้วขอรับ”
“ดี เรียกเขาเข้ามา”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขอโทษขอโพยกับหยูเวิ่นหวินและหยูหงอี้ “พวกท่านนั่งรอชั่วครู่ ข้ามีธุระจำเป็นที่จะต้องจัดการ”
บุคคลที่อี้หยู่พาเข้ามาก็คือเฟิ๋งหล่าวซื่อและบุตรชายทั้งสองของเขา
เฟิ๋งหล่าวซื่อสวมกางเกงและเสื้อคลุมตัวสั้น สวมรองเท้าแตะฟางหนึ่งคู่ ชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปีมีผิวคล้ำและมีร่างกายกำยำ เขาพาบุตรชายทั้งสองของเขามาคำนับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพและเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามีนามว่าเฟิ๋งหล่าวซื่อ มิทราบว่าคุณชายต้องการสั่งสิ่งใดขอรับ”
“มาเถิด เชิญนั่ง”
เฟิ๋งหล่าวซื่อกลั้นหายใจ และเมียงมอง “ข้ามิกล้า คุณชายรับสั่งมาได้เลยขอรับ”
“มิเป็นไร สองท่านนี้คือสหายของข้า เจ้านั่งพักดื่มชาเถิด”
เฟิ๋งหล่าวซื่อนั่งลงไม่เต็มก้นตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีละล้าละลัง หยูหงอี้นึกคิดว่านี่มันเรื่องอันใดกัน?
สายเลือดเชื้อพระวงศ์ ผู้สูงส่งและมีเกียรติ ไหนเลยจะเคยนั่งร่วมกันกับคนชั้นล่างเยี่ยงนี้!
ในตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน หยูเวิ่นหวินกลับแอบรั้งเขาเอาไว้
“ซีเมนต์รึ?”
“คุณชายฟู่เรียนมาจากที่ใดกัน?”
“เมื่อวันก่อนฝนตก ข้ายืนมองฝนอยู่บนอาคารเรือน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างในหัว แล้วก็นึกคิดสิ่งนี้ขึ้นมา” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “ข้าเองก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใด บางคราก็มีอะไรแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาในหัวของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องขอบคุณแม่นางต่ง”
ปากของหยูเวิ่นหวินเผยอออกเล็กน้อย ความคิดทางปรัชญามิอาจตรวจสอบสิ่งนี้ได้ ทำได้เพียงสรุปว่าเพราะอุบัติเหตุจึงเกิดโชคดีเพียงเท่านั้น
“หากวันใดที่ในหัวของคุณชายส่องสว่างขึ้นมาอีกครา โปรดจดจำว่าท่านจะแต่งกวีให้ข้าหนึ่งบท”
“แน่นอน”
“เยี่ยงนั้นพวกข้าขอตัวลาไปก่อน ภายภาคหน้าหากคุณชายได้ไปเมืองหลวง ได้โปรดบอกกับชูหลาน นางสามารถพาท่านไปพบกับข้าได้”
“แน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนส่งทั้งสองคนออกจากจวนฟู่ พอขึ้นรถม้าได้ หยูหงอี้ก็เริ่มเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท พระองค์เป็นถึงองค์หญิงเก้า จะไปคลุกคลีกับพ่อค้าเยี่ยงนี้มากจนเกินไปได้เยี่ยงไร”
หยูเวิ่นหวินยิ้มและไม่ได้ตอบกลับหยูหงอี้ไป เพียงแค่นึกถึงคำพูดที่ได้คุยกับชูหลานก่อนหน้านั้น
“เยี่ยนซีเหวินเป็นถึงจอหงวน ตระกูลเยี่ยนเก่าแก่ถึงสามชั่วอายุ เหตุใดเจ้าถึงจดจำชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้ได้ดีนัก?”
“เยี่ยนซีเหวิน… มิน่าสนใจ!”
“ฟู่เสี่ยวกวนน่าสนใจเยี่ยงนั้นรึ?”
“เจ้ามิรู้หรอก เขาน่าสนใจยิ่งนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)