หนิงซือเหยียนคิ้วขมวด
การทานอาหารคือเรื่องศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะการทานอาหารเช้า
เมื่อวานได้แอบไปขโมยแม่ไก่มาหนึ่งตัวจากบ้านกระโจมแถบชายฝั่งของทะเลสาบสือหลี่ เช้าวันนี้ถึงได้นำไก่ตัวนั้นมาย่าง ในตอนที่กำลังจะใช้ช่วงเวลาที่แสนสำคัญอย่างมีความสุข แต่แล้วก็มีกลุ่มคนเข้ามาทำลายบรรยากาศ นั่นมันน่าโมโหมากยิ่งนัก
“เจ้าสามารถรอได้หรือไม่ ? ”
ในตอนที่ผู้มีฝีมือสองคนที่อยู่ข้างกายของเยียนหานยวี่ต้องการจะชักกระบี่ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาหนึ่งประโยค ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปมองเยียนหานยวี่
“รออันใด ? ”
เยียนหานยวี่เองก็ผงะ การสังหารมิจำเป็นต้องรอ หรือว่าคนเฝ้าประตูผู้นี้กลัวเขาแล้วคิดจะหาช่องว่างเข้าไปเรียกฟู่เสี่ยวกวนออกมาเยี่ยงนั้นหรือ
จากนั้นเขาก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือก
“เนื้อไก่หากเย็นแล้วจะแข็ง รสชาติจะแย่ไปในทันที ทานเข้าไปก็ยากที่จะกลืน พวกเจ้ารอข้าสักครึ่งก้านธูป ให้ข้าทานไก่ตัวนี้ให้หมดเสียก่อน ดีหรือไม่ ? ”
ข้าจะมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน ยังจะต้องมายื่นมองเจ้ากินไก่อยู่ที่ตรงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เยียนหานยวี่เดือดดาลทันพลัน “เจ้าหลีกทางให้ข้าแล้วไปกินที่ข้างทางเสีย ! ”
หนิงซือเหยียนส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ต่างก็เคยท่องเที่ยวในยุทธภพกันมาหมดแล้ว คาดว่าคงเข้าใจหลักการนำเงินของผู้คนมาขจัดภัยนี้แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนใช้ซีชานเทียนฉุนจ้างให้ข้าเฝ้าประตู ข้าย่อมมิสามารถหลีกทางให้เจ้าได้ แต่ว่าพวกเจ้า…ปรี่มาโวยวายกันถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า หากฟู่เสี่ยวกวนมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะตำหนิข้าที่เฝ้าประตูได้มิดี เยี่ยงนั้นพวกเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ? ”
หนิงซือเหยียนเอ่ยไปด้วยในขณะที่กำลังหั่นเนื้อ เยียนหานยวี่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ดีใจ ลอบคิดว่ากฎของราชวงศ์อู๋นั้นใช้ได้มิเลว แม้แต่ผู้เฝ้าประตูต่างก็มีจรรยาบรรณในอาชีพอย่างเคร่งครัด หากเป็นเวลาปกติ เขาคงนั่งลงดื่มสุรากับคนเฝ้าประตูที่น่าสนใจผู้นี้อย่างมินึกรังเกียจ แต่บัดนี้ยังมิได้
ในตอนนี้เขาควรได้เข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหู และสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่สมควรตายผู้นั้นเสีย !
“ข้านับสาม หากเจ้ายังมิถอย แล้วอย่าได้กล่าวโทษกระบี่ที่ไร้ตาของข้า” สีหน้าของเยียนหานยวี่มืดครึ้ม หนิงซือเหยียนถอนหายใจหนัก ๆ หวังว่าการนับสามนั้นจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ยังเหลือไก่อีกครึ่งตัวเลยนี่ เสียดายยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงหั่นเนื้อ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หั่นก็จุ่มลงไปในน้ำจิ้มและโยนใส่ปาก เสียงของเยียนหานยวี่ดังอยู่ข้างหูของเขา
“สาม ! ”
เขาเคี้ยวจนแก้มป่อง หลังจากที่กลืนลงไป ก็ได้โยนอีกสองชิ้นเข้าปากตามติดไป
“สอง ! ”
เขาหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาจิบ และหั่นเนื้อต่อไป
เยียนหานยวี่เชื่อว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอคนที่รักการกินมากกว่ารักชีวิตมาก่อน !
ในเมื่อเจ้าไม่เสียดายชีวิต เยี่ยงนั้นข้าก็ขอปลิดชีวิตเจ้า !
“หนึ่ง !”
“ฆ่า ! ”
ทันทีที่คำว่าฆ่าหลุดออกมาจากปาก หนิงซือเหยียนก็โยนชิ้นเนื้อที่หั่นเสร็จพอดีเข้าปากไป แต่ยังมิทันที่จะได้จุ่มลงไปในน้ำจิ้ม รสชาติจึงมิได้เลิศรสเท่าใดนัก
ผู้มีฝีมือระดับสูง 2 คนที่อยู่ข้างกายเยียนหานยวี่ชักดาบและกระบี่ออกมา ชายฉกรรจ์จากยุทธภพจำนวน 150 คนที่อยู่ด้านหลังของเขาชักดาบและกระบี่ออกมา พวกเขากู่ร้องในพลัน และปรี่ไปหาคนเฝ้าประตูที่นั่งอยู่ที่หน้าประตูตรงนั้น
ใช้คนมากมายเพื่อสังหารคนเฝ้าประตู 1 คน เยียนหานยวี่รู้สึกว่าแบบนี้มันเหมือนกับใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็มิปาน
สายตาของเขาผละออกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้น และมองไปยังทะเลสาบจิ้งหูที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่ไกลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ห่างออกไป
สถานที่แห่งนี้ถือว่าไม่เลว หากสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว ควรจะแย่งชิงโฉนดที่ดินที่แห่งนี้ด้วยดีหรือไม่ ?
ในฐานะคนจากแคว้นอี๋ พวกเขาคุ้นชินกับคำว่าแย่งชิงเป็นอย่างมาก และเป็นความคุ้นชินที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก
และในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นก็เพิ่งเดินออกมาจากป่า ก็ได้ยินเสียง “ฆ่า ! ” ที่ดังลั่นนั้นพอดี
ใจของฟู่เสี่ยวกวนบีบรัด แต่มิใช่เพราะกังวลกับหนิงซือเหยียน แต่กังวลแทนกลุ่มคนที่ดวงตาไร้แววเหล่านั้น
แน่นอน พวกเขาได้เห็นแสงจากกระบี่ที่สว่างขึ้นมาหนึ่งสาย…
หนึ่งกระบี่ !
ไร้เสียงไร้ลมมีเพียงประกายสีเงินของหนึ่งกระบี่เท่านั้น !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)