ในค่ำคืนนี้มีใครบางคนที่ยากจะข่มตาหลับ
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่กวนหยุนถายอย่างโดดเดี่ยว มองไปยังฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยท่าทีเศร้าหมอง
เขาเป็นพี่ชายของข้า !
ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหัวสมองของนาง จนทำให้นางมิอาจทำใจเชื่อได้
เหตุใดเขาจะต้องเป็นพี่ชายของข้าด้วย !
เมื่อนึกถึงเรื่องในเมืองฝานหนิง เขาได้ตบลงบนไหล่ของนางอย่างเป็นกันเอง และยังกล่าวว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้าดีหรือไม่ แต่ทว่าบัดนี้เขาได้กลายมาเป็นพี่ชายของนางจริง ๆ แล้ว มันดีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
นางอ้าปากขึ้นแล้วตะโกนออกไปยังทะเลหมอกที่ไร้เขตแดนนี้ว่า “ข้ามิประสงค์ให้เจ้าเป็นพี่ชาย… ! ”
มีเสียงสะท้อนดังก้องกลับมา และกังวานไปทั่วทั้งท้องนภา
……
ณ ตำหนักเจิ้งหยาง จักรพรรดิเหวินได้เสด็จออกไปแล้ว จักรพรรดินีเซียวจึงได้หันพระพักตร์ไปทางบุตรชายของตนด้วยความกรุ่นโกรธ
“คุกเข่า ! ”
อู๋กานจ้องมองไปยังเสด็จแม่แล้วตกตะลึง เขาทำสิ่งใดผิดกัน ?
แต่เขาก็ยอมคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย จักรพรรดินีเซียวจึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา “บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ? ”
อู๋กาน องค์รัชทายาทที่อายุได้เพียง 14 ปีพยักหน้าตอบรับ
“เช่นนั้นเจ้าจงกล่าวออกมาว่าเข้าใจสิ่งใด ? ”
“…หากมิจำเป็นอย่าร่วมมื้ออาหารกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อีกพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้า… ! ” จักรพรรดินีเซียวจ้ององค์รัชทายาทตาเขม็ง อู๋กานรีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า “มิใช่เช่นนั้นเสด็จแม่ ลูกหมายความว่าการที่ลูกร่วมรับประทานอาหารกับท่านทั้งสองอาจทำให้ท่านโมโหได้ ลูกจึงมิประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ! นับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณนะพ่ะย่ะค่ะ ฟ้าดินเป็นพยาน ! ”
จักรพรรดินีเซียวทรงพระแย้มสลวนออกมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายของตนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้อื่นเช่นนี้ นางจะทำเยี่ยงไรได้ ?
“ในค่ำคืนนี้ เสด็จพ่อทรงเลือกฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าหลังจากวันบวงสรวงสู่สวรรค์แล้วเสด็จพ่อคงจะพาเขาไปยังวัดไท่เมี่ยว หากเป็นเช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จะเปลี่ยนแซ่เป็นอู๋เสี่ยวกวน และเป็นเสด็จพี่ของเจ้า ตามกฎของราชวงศ์แล้ว ผู้อาวุโสกว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาท ที่ตำหนักของเจ้าก็จะกลายเป็นของเขา”
อู๋กานตั้งใจฟังโดยละเอียด แต่ทว่าในใจของเขาไม่เพียงแต่หวาดกลัวหรือคับแค้นใจ ทว่าเขากลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ
เขามิได้อยากเป็นองค์รัชทายาท !
เป็นองค์รัชทายาทมีอันใดดีกัน ?
ในแต่ละวันต้องทนนั่งฟังคำสั่งสอนของเสด็จพ่อ จะต้องไปนั่งฟังประชุมทุกเช้ารับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ นานาของขุนนาง อีกทั้งยังต้องไปศึกษาตำรากับเหวินสิงโจวในทุก ๆ วัน !
หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่นั้นเขามิได้เดินทางไปสิบกว่าวันแล้ว มิรู้ว่าบรรดานกน้อยจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่
ชีวิตเช่นนี้สำหรับอู๋กานแล้ว เปรียบเสมือนกับกรงนกขนาดใหญ่ เขารู้สึกอิจฉาน้องชายของเขาด้วยซ้ำไป อู๋คุน บุตรชายของพระสนมยวี่ที่อายุน้อยกว่าเขาเพียงครึ่งปีเท่านั้น !
เมื่อปีที่แล้ว เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้อู๋คุนเป็นอ๋องและมอบเขตฉางผิงให้แก่เขา เจ้าหมอนั่นคาดว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญแล้วสิ
จักรพรรดิเหวินมีโอรสเพียง 2 คนเท่านั้น เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตนี้เขาคงหนีมิพ้นที่จะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียแล้ว แต่ก็คาดมิถึงว่าจะมีพี่ชายตกลงมาจากสวรรค์เยี่ยงนี้ !
จึงทำให้เขารู้สึกยินดียิ่ง แต่บัดนี้มิอาจแสดงออกมาได้
เขาจึงกล่าวว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อมิได้กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสแต่อย่างใดนี่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่จักรพรรดิเหวินเล่าเรื่องของเขากับสวี่หยุนชิงออกมานั้น เพียงได้เอ่ยกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าได้เข้าใจความหมายของพ่อแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ในมุมมองของอู๋กานนั้นเขามิเข้าใจมากนัก เสด็จพ่อทรงรู้จักผู้คนมากมาย และหากมีความเกี่ยวข้องกับสวี่หยุนชิงก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง แต่สวี่หยุนชิงแต่งงานกับผู้อื่นอีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายด้วยกัน แล้วจะเอาเหตุผลใดมากล่าวว่าเขาคือโอรสของเสด็จพ่อ ?
จักรพรรดินีเซียวอยากจะตบหัวของบุตรชายแสนโง่เขลาผู้นี้เสียจริง นางกัดฟันแล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงมีบุตรเช่นนี้ได้กัน ! ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)