ตอน ตอนที่ 360 ระดับเจี่ยกลาง จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
ตอนที่ 360 ระดับเจี่ยกลาง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
ตำหนักเจิ้งหยางที่เคยมีชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเยือกเย็น
แม้แต่แสงแดดที่สาดส่องลงมา อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ยังคงรู้สึกหนาวเหน็บอย่างสุดหัวใจ
ดอกท้อบนต้นที่อยู่ทางด้านซ้ายของลานได้ร่วงโรยไปหมดแล้ว แม้แต่กลีบดอกไม้ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ไม่รู้ว่าสีแดงสดของมันนั้นจางหายไปตั้งแต่เมื่อใด
บัดนี้ต้นสาลี่ที่อยู่ทางด้านขวาของลาน กำลังผลิดอกออกมาเบ่งบานราวกับหิมะขาวโพลน หากเป็นในอดีตนางอาจจะคิดว่าดอกสาลี่เหล่านี้งดงามยิ่ง แต่ทว่า…บัดนี้นางรู้สึกราวกับว่าต้นสาลี่ถูกปกคลุมไปด้วยผืนผ้าแพรสีขาว !
เสด็จแม่ถูกกุมตัวไปยังศาลต้าหลี่ ไม่เพียงแต่เพราะเสด็จแม่วางแผนจัดการในวัดหานหลิงเท่านั้น อีกทั้งยังมีข่าวร้ายอันน่าใจหายที่ราชสำนักเพิ่งได้รับแจ้งว่า อ๋องแห่งเขตฉางผิงเพิ่งถูกลอบสังหาร !
ทั้งราชสำนักพากันแตกตื่น เสด็จพ่อกริ้วเสียจนแทบทนมิได้ !
ในขณะที่เสด็จแม่ที่กำลังออกไปจากตำหนักเย็นได้แย้มพระสรวลออกมา…ทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกเย็นไปทั่วทั้งร่าง
เสด็จแม่ที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปเป็นโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้กัน ?
แมงป่องพิษยังมิน่ากลัวเท่านี้ !
เพียงเพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาทเยี่ยงนั้นหรือ ?
หรือเพียงเพื่อพระทัยของเสด็จพ่อที่ทรงมีแต่สวี่หยุนชิงแต่เพียงผู้เดียวเยี่ยงนั้นหรือ ?
คุ้มค่าหรือไม่ ?
บัดนี้ ต่อให้นางต้องการจะช่วยเสด็จแม่ออกมาก็คาดว่าจะสิ้นหวังแล้ว นางจะได้รับการลงโทษเยี่ยงไรกัน ?
จะเป็นผ้าแพรขาวที่เสด็จพ่อประทานให้ หรือเป็นสุราพิษกัน ?
สภาพตอนนางสิ้นใจคาดว่าคงมิน่ามองเป็นแน่ แต่นางคงจะจากไปด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากนางบ้าไปแล้ว !
นางกล่าวว่า เมื่อนางตายไปแล้วจงนำร่างของนางไปฝัง ณ เรือนหยุนชิง นางอยากจะเห็นที่แห่งนั้น…อู๋หลิงเอ๋อร์เองก็มิเคยเดินทางไปเช่นกัน ที่แห่งนั้นจะเป็นสถานที่แบบไหนกัน ?
ความรักที่เสด็จพ่อมีให้สวี่หยุนชิงนั้น เปรียบเสมือนนกหยวนหยางคู่นั้นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
ภาพวาดนกหยวนหยางคู่นั้นมองดูแล้วช่างน่าโศกเศร้ายิ่ง พระทัยของเสด็จพ่อคงคล้ายกับนกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นตำหนักเจิ้งหยางเกรงว่าต่อไปก็คงมิมีเจ้าของอีกเป็นแน่
นางสูดลมหายใจเข้าเสียยืดยาว จากนั้นมองไปยังวัดหานหลิงแล้วนึกในใจว่า บัดนี้การแข่งขันคาดว่าจะเริ่มขึ้นแล้ว มิรู้ว่าหัวข้อในวันนี้คืออะไร ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างผลงานอันโดดเด่นออกมาได้หรือไม่ ?
ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา
เมื่อนางหันไปมองก็พบว่าเป็นเสด็จพ่อ !
“นาง..เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ ? ” อู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“หลิงเอ๋อร์ ชงชาสาลี่ให้พ่อสักกาหนึ่งเถิด” จักรพรรดิเหวินมิได้ตอบคำถามนาง แต่กลับนั่งลงในศาลาเหลียงถิงแล้วหันหน้ามองต้นสาลี่อันขาวโพลน
อู๋หลิงเอ๋อร์เดินไปหยิบชุดชงชา จากนั้นเดินไปเด็ดดอกสาลี่มาหนึ่งกำมือ พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ จักรพรรดิเหวิน นางมิได้เอ่ยถามอันใดออกมาอีก ได้แต่เพียงนั่งชงชาอย่างตั้งใจเท่านั้น
“ต้นสาลี่ต้นนั้น พ่อเป็นคนปลูกมันด้วยตนเอง บัดนี้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว…” จักรพรรดิเหวินถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง “องค์รัชทายาทอายุได้ 14 ปีแล้ว นางลอบสังหารอ๋อง เพื่อให้ตำแหน่งรัชทายาทมั่นคง”
อู๋หลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง สายตาของจักรพรรดิเหวินยังคงจับจ้องไปที่ต้นสาลี่นั่น สีหน้าของเขาเย็นชาเคร่งขรึม “หลิงเอ๋อร์ พ่อจะปลดตำแหน่งองค์รัชทายาท ! ”
“เพล้ง… ! ” เสียงของแก้วชาร่วงหล่นลงสู่พื้น แตกละเอียด
จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลออกมาจากนั้นกล่าวว่า “พ่อเพียงแค่บอกกับเจ้าเท่านั้น วันนี้เป็นวันแรกของการแข่งขันงานชุมนุมวรรณกรรม โดยมีหัวข้อคือตุ้ยเหลียน เจ้าว่า…ฟู่เสี่ยวกวนจะได้รับคะแนนมากที่สุดหรือไม่ ? ”
……
……
แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีความรู้ด้านพุทธศาสนา แต่ทว่าก็มิได้ลึกซึ้งแต่อย่างใด
พวกเขามองดูเซี่ยเหลียนนี้ สามารถบอกได้ถึงความงดงาม แต่ก็มิสู้ท่านอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยที่มองลงไปได้อย่างลึกซึ้ง
นี่คือเหตุผลที่ไทเฮาทรงเชิญอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมา ในเมื่ออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็นับว่าการตัดสินนี้ถือว่าเห็นพ้องต้องกัน !
“ข้าจำได้ว่า ราชวงศ์หยูมิสนับสนุนพุทธศาสนา อีกทั้งยังได้ยินมาว่า อย่าว่าแต่วัดเลย แม้แต่คัมภีร์สักเล่มก็ยังหามิพบ ฟู่เสี่ยวกวน…เข้าใจในพระธรรมล้ำลึกเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
มิมีผู้ใดตอบคำถามของไทเฮาได้ ไทเฮาเองก็มิได้ทรงต้องการคำตอบจากผู้ใด และทรงกล่าวออกมาว่า “แม้ตุ้ยเหลียนนี้จะได้รับการยอมรับจากพวกท่านทั้งหลาย แต่ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคน อย่าได้รีบด่วนตัดสินใจ รอให้บัณฑิตทุกคนส่งผลงานมาให้ครบ แล้วค่อยตัดสินโดยละเอียด…”
พระนางทอดพระเนตรไปยังตุ้ยเหลียนที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นแล้วตรัสว่า “หากว่าผลการแข่งขันออกมา แล้วผลงานของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองแผ่นนี้เป็นเลิศที่สุด…ข้าคิดว่าควรหักคะแนนจากทักษะการเขียนอักขระเสียหน่อย หากพวกเจ้าคิดว่าผลงานของเขาอยู่ในระดับเจี่ยสูง จงลดให้เป็นระดับเจี่ยกลางเถิด”
“ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนเสียก่อน เมื่อรู้ผลจงให้คนมารายงานข้าด้วย”
นางในที่รับใช้ไทเฮาได้ประคองพระนางออกจากหอป๋อเสวียไป เหลือไว้แต่เพียงอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยและนักปราชญ์ทั้งเก้าคนที่มองหน้ากัน
นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?
เนื่องจากอักขระของฟู่เสี่ยวกวนมิน่ามอง ไทเฮาจึงทรงตัดคะแนนเยี่ยงนั้นหรือ ?
“ตัวอักษรเปรียบเสมือนหน้าตา ข้าขอกล่าวตามจริงว่า หากมองจากตัวอักษรนี้แล้ว ข้าคิดว่าหลานชายที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือของข้ายังเขียนได้สวยกว่าเสียอีก”
“เห้อ…นี่คือพระประสงค์ของไทเฮา คาดว่าทรงต้องการจัดการฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ น่าเสียดายยิ่ง ! ”
“เช่นนี้หมายความว่า…การแข่งขันกวีในวันพรุ่งนี้ ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์กวีออกมาได้งดงามถึงเพียงใด ก็คาดว่าคงได้เพียงระดับเจี่ยกลางเท่านั้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ทุกท่าน…” อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ “ชื่อเสียงเป็นเรื่องนอกกาย ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจในพระธรรมเช่นนี้ เขาได้ปล่อยวางลงแล้ว ดังนั้นอาตมาคิดว่าผลงานของเขาจะเป็นระดับเจี่ยสูงหรือเจี่ยกลาง คุณชายฟู่ก็คงมิได้นำมาใส่ใจ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)