หญิงชราผู้นั้นดูสะอาดสะอ้าน
นางสวมชุดผ้าปอสีขาวล้วน ผมหงอกขาวของนางนั้นถูกจัดทรงอย่างเป็นระเบียบและได้มวยผมบันไว้ด้านหลังของศีรษะซึ่งประดับด้วยปิ่นปักผมสีเงิน นอกเหนือจากนั้นนางก็ไร้ซึ่งเครื่องประดับอื่นใดอีก ช่างดูเรียบง่ายแต่ก็มิได้ดูปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกช่ำชองต่อโลกแต่ก็สบายตาแก่ผู้พบเห็นอยู่ทันที
แม้ว่าบนใบหน้าของนางจะมีรอยเหี่ยวย่นมากมาย แต่แก้มนั้นกลับดูชมพูระเรื่อและดูสุขภาพดียิ่ง สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าหญิงชราผู้นี้ช่างมิเหมือนใครคือแววตาคู่นั้นของนาง ที่ดูราวกับมีอำนาจบางอย่างแต่บางคราก็ดูเหมือนมิมีอันใด และรัศมีของนางที่กำลังนั่งหลังตั้งตรงอยู่นั้นดูองอาจยิ่ง
ราวกับว่านางจะเป็นผู้อาวุโสประจำตระกูลใหญ่สักตระกูลของเมืองกวนหยุน
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในศาลาแล้วคำนับต่อหญิงชราท่านนี้ “ข้าน้อยนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ขอคารวะท่านผู้อาวุโส”
หญิงชราท่านนี้ได้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนนับตั้งเเต่ก้าวแรกที่เขาได้เข้ามาเหยียบในศาลา ใบหน้าของนางแสดงความเคร่งขรึมเล็กน้อย นางได้กระพริบตาคู่นั้น เหมือนมันจะทำให้นางมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ยืนอยู่ด้านหน้าของหญิงชรา นางได้เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน สายตานิ่งเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ
“นั่งลงเถิด”
“ขอบคุณขอรับ ! ”
ซูซูหันมองซ้ายมองขวา หญิงชราผู้นี้มิได้เอ่ยเรียกนาง นางจึงลอบกลอกตาแล้วจึงเลือกนั่งลงข้างฟู่เสี่ยวกวน
หญิงสาวที่นำฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปที่ศาลานั้น ได้เอากาน้ำทองแดงเดินไปที่ด้านล่างของริมผา ที่แห่งนั้นได้มีหินสีน้ำเงินที่มารวมตัวกันจนกลายเป็นลักษณะคล้ายกับปากถ้วยขนาดใหญ่ และมีน้ำพุหยดมิขาดสาย
“ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันแรกของงานชุมนุมวรรณกรรม เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ได้เล่า ? ”
“ท่านผู้อาวุโสข้าน้อยได้ต่อซั่งเหลียนทั้งสองบทนั้นเสร็จแล้ว เห็นว่าไร้ธุระอื่นใดจึงได้ปลีกตัวกลับมาเสียก่อน”
“อ่า…” หญิงชราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หนานกงตงเซวี๋ยหิ้วกาน้ำชากลับมาที่ศาลาแล้วนำกาน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ หญิงชรายังคงจ้องมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงเอ่ยถาม “ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจินหลิงนานาบุปผาบานสะพรั่ง ผู้มีปัญญาเกลื่อนล้นแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมของเหล่าหนอนหนังสือ ด้วยชื่อเสียงของคุณชายฟู่แล้วการคว้าชัยชนะในงานแข่งขันครานี้คงง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก”
ฟู่เสียวกวนส่ายหน้าปฏิเสธ “ท่านผู้อาวุโสกล่าวสรรเสริญข้าน้อยเกินไปแล้ว ด้านการประพันธ์ไร้ซึ่งผู้ใดเป็นหนึ่งตั้งแต่โบราณกาล แม้ว่าข้าน้อยจะเป็นผู้ที่มีนามเลื่องลือแต่ก็มิกล้าเอ่ยได้เต็มปากว่าข้าน้อยเก่งกาจมิเป็นสองรองใคร เมืองจินหลิงและเมืองกวนหยุนต่างมีจุดดีจุดด้อยเป็นของตนเอง แม้ว่าบัดนี้จะเป็นยุครุ่งเรืองด้านการประพันธ์ของเมืองจินหลิง แต่ทว่าบัดนี้ด้านการประพันธ์ของเมืองกวนหยุนก็กำลังอยู่ในช่วงกำลังก่อตัวเช่นกัน งานประพันธ์ของจินหลิงล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากคำสอนของขงจื้อ ซึ่งย่อมมีทั้งด้านดีและด้านเสียในตัวของมันเอง”
เมื่อหญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการตื่นเต้น “อ่า…ลองกล่าวให้ข้าฟังได้หรือไม่ ? ”
“แนวคิดของขงจื้อนั้นมีมานานนับพันปี สืบสานกันมาอย่างยาวนานและฝังรากลึกลงไปในสังคม ทว่าหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบดั่งพันธนาการ ที่ทำให้มีงานประพันธ์แพร่หลาย แต่ก็ทำให้ราชวงศ์หยูมีโซ่ตรวนพันรอบและยากที่จะก้าวออกไปข้างหน้าสู่ความหลากหลายที่มากกว่า”
หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนในทันใด จากนั้นก็หยิบดอกแพร์จากกระบอกไม้ไผ่ใส่ลงไปในกาต้มชา
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยวาจาด้วยความหนักแน่นท่วมท้น “จะทลายโซ่พันธนาการนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก แต่ทว่าราชวงศ์อู๋นั้นมิได้ประสบกับปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน แม้ว่าแนวคิดของขงจื๊อจะเข้าสู่ราชวงศ์อู๋มาช้านาน แต่ก็เพิ่งได้รับการผลักดันอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วยน้ำมือของท่านเหวินสิงโจว ทุกวันนี้เยาว์ชนแห่งราชวงศ์อู๋แม้จะได้ร่ำเรียนแนวคิดของขงจื้อมาเช่นกัน แต่พวกเขามิได้นับถือเสียจนหน้ามืดตามัว ด้วยเหตุนี้ด้านงานประพันธ์จึงมิได้มีโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ พวกเขามองพื้นฐานแนวคิดของขงจื้อด้วยสายตาที่ลึกยิ่งกว่า อนาคตของพวกเขาช่างหน้าจับตามองยิ่ง มิเหมือนกับราชวงศ์หยูที่เต็มไปด้วยขวากหนามหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้า ! ”
หญิงชรายิ้ม “แต่เจ้าเป็นคนของราชวงศ์หยู”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)