นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 368

ยี่สิบสามค่ำเดือนหก !

วันนี้เป็นวันที่สามของงานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงแห่งราชวงศ์อู๋ !

วันนี้ควรจะเป็นวันธรรมดาทั่วไปอีกวันหนึ่ง ทว่ากลับถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันมหามงคลอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋ และแน่นอนว่าวันนี้ย่อมถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ทั่วทั้งใต้หล้าด้วยเช่นกัน !

อู๋ฉางเฟิงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ทรงประกาศสถานะของฟู่เสี่ยวต่อหน้าเหล่าขุนนางในพระองค์ ชายหนุ่มผู้ที่เดิมทีนั้นเป็นเพียงบุตรชายของเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงผู้ซึ่งเติบโตบนผืนแผ่นดินที่ห่างออกไปไกลถึงสามพันลี้ เขาได้ไต่เต้ามาจากตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ไท่จงต้าฟู และเจี้ยนอี้ต้าฟูแห่งราชวงศ์หยู จากนั้นจักรพรรดิเหวินได้ทรงตรัสและออกพระราชโองการทำให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เปลี่ยนตัวตนเป็นโอรสในจักรพรรดิเพียงชั่วพริบตา

การถกเถียงกันอย่างดุเดือดภายในพระราชวังจวี้หัว เมื่อเจอกับไทเฮาที่ทรงเสด็จมาแล้วทรงตรัสอย่างนุ่มนวล เพียงเท่านี้ก็สามารถพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวได้แล้ว อีกทั้งยังทรงเน้นยำอีกว่าเยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้เข้ามามีบทบาทในพระราชตำหนักบูรพา

ในเมื่อสถานการณ์ได้กลายมาเป็นเช่นนี้ ต่อให้เหล่าขุนนางเป็นหมื่นเป็นพันรู้สึกขุ่นเคืองเยี่ยงไร ก็ไร้ซึ่งความหวังที่จะพลิกแพลงสถานการณ์ใด ๆ ได้ จักรพรรดิเหวินนั้นมีพระโอรสเพียง 2 พระองค์ องค์รัชทายาทพระองค์เดิมนั้นได้โดนถอดถอนออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอ๋องแทน ตั้งแต่นี้ก็จำต้องจากเมืองกวนหยุนเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจไปยังที่ทำการเขตปกครองฉางหนิง

องค์รัชทายาทพระองค์ใหม่ก็ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นโอรสนอกสมรส

บ้างก็คิดว่าที่เซียวเฉียงได้กระทำนั้นไร้ค่า นางได้ลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างอหังการ แต่ทว่าทั้งหมดนั้นกลับกลายเป็นอาภรณ์นุ่งห่มที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนเสีย

บ้างก็กังวลว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เข้ามากุมอำนาจในราชวงศ์อู๋แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อพระราชสำนักขึ้นมา

แน่นอนว่าย่อมมีคนที่เห็นแตกต่าง คิดว่าพรสวรรค์และความสามรถของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะสามารถทำให้ราชวงศ์อู๋มีอนาคตที่รุ่งเรืองได้ ให้ราชวงศ์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก !

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แม้แต่เจ้าตัวที่กำลังเข้าร่วมการแข่งขันที่วัดหานหลิง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ยังมิได้ยินข่าวใหญ่นี้แม้แต่คนเดียว

……

เพราะมีงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงเป็นเหตุให้ต้องปิดอาณาเขตวัดเป็นเวลาสามวันสามคืน งานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ได้ถูกจัดขึ้นที่ลานเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ วัดหานหลิงนั้นตั้งอยู่ส่วนหน้าของภูเขา ทำให้บรรยากาศนั้นเงียบสงบมากยิ่งนัก

ตลอดการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมไร้ซึ่งหมู่มวลชนผู้เลื่อมใสคนใดสามารถย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของวัดได้ แต่ก่อนทุกอุโบสถภายในวัดนั้นจะคละคลุ้งไปด้วยควันธูปและควันจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง แต่บัดนี้ได้มอดดับสิ้น มีเพียงแค่แสงโคมไฟด้านหน้าของพระพุทธรูปเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงอยู่ มีธูปเพียงมิกี่ก้านหน้าพระพุทธรูปเท่านั้นที่ส่งควันโชยออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนส่งกระดาษคำตอบภายในเวลาที่รวดเร็วเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน จากนั้นเขาก็ไร้ซึ่งภารกิจใด ๆ อีก เขาจึงได้พาคณะของเขาปีนขึ้นไปบนยอดเขา เพราะหยูเวิ่นหวินและต่งซูหลานได้เอ่ยไว้ว่า ที่ราชวงศ์หยูนั้นไร้ซึ่งพระพุทธรูป เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ควรจะไปสักการะบูชาเสียหน่อย

เรื่องสักการะบูชาพระพุทธรูปนั้นแน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขัดแย้งใด ๆ เพราะเป็นการเลื่อมใสศรัทธาอย่างหนึ่ง แต่ที่คาดคิดมิถึงคือวัดหานหลิงนี้ช่างกว้างใหญ่มากยิ่งนัก พวกเขาต่างก็มิคุ้นชินเส้นทาง และมิทราบว่าการสักการะพระพุทธรูปนั้นมีกฎเกณฑ์เยี่ยงไร พวกเขาเลยเสียเวลาไปกับการเดินไปก้มกราบไปตลอดทาง

และบัดนี้ ณ หอป๋อเสวีย เหล่าคณะกรรมการนักปราชญ์ทั้งแปดท่านได้ง่วนอยู่กับการอ่านกองบทกวีที่แสนขี้เหร่และมิเข้าตาเอาเสียเลย มิมีแม้แต่คนเดียวที่อยากเอ่ยสิ่งใดออกมา

ไร้ซึ่งคำชมและความคิดเห็นอื่นใด

บทกวีเหล่านี้มิคู่ควรกับการชมเชยใด ๆ ทั้งสิ้น

และผู้แต่งบทกวีแสนขี้เหร่เหล่านี้ก็มิมีคุณสมบัติใด ที่จะได้รับคำติชมจากพวกเขาทั้งสิ้น

เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน เสนาบดีกรมพิธีการก็ได้ประกาศออกมาอย่างหนักแน่น ทลายความเงียบงันที่ได้ก่อตัวขึ้นมายาวนาน

“ต่อไปนี้…การแข่งขันกวีเช่นนี้ก็มิจำเป็นต้องจัดอีกแล้ว”

ท่านนักปราชญ์ตู้ยกมือขึ้นลูบเครายาวตรงช่วงขากรรไกรด้านบน แล้วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ข้าได้เดินพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ลาน ยังมีเหล่าบัณทิตอีกพันกว่าชีวิตที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการคิด มิมีแม้แต่ผู้เดียวที่จรดปลายพู่กันเพื่อตอบปัญหา ทว่าเจ้าหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบเสร็จแล้วทั้งสามข้อ ข้ายังรู้สึกเห็นใจคนหนุ่มพวกนั้นที่ต้องนั่งอยู่ในลาน ข้ายังได้ยินเสียงคนแว่วดังมาจากทางเชิงเขา เอ่ยว่าอยากจะปีนไปยังยอดเขา เมื่อก้มหน้าไปมองนั้นเป็นเขาฟู่เสี่ยวกวน ฮ่า ๆ ๆ ”

เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยันแล้วส่ายหัว “ช่างมิรู้อันใดเอาเสียเลยว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแค่ได้อยู่บนยอดเขาเท่านั้น แต่ยังได้อยู่เหนือเมฆเหนือแผ่นดินทั้งปวง มิต้องเอ่ยถึงว่าจะไล่ตามเลย เพียงแค่แหงนหน้ามองก็สูงเกินกว่าที่ดวงตาจะมองเห็น ! ”

แม้แต่ท่านนักปราชญ์เหมยผู้คอยปกป้องราชวงศ์อู๋ตลอดมาบัดนี้ก็มิได้แก้ต่างประการใดแทน

สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความหดหู่ใจ คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการประพันธ์ อีกทั้งยังเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ปัญญาชนหรือนักปราชญ์ผู้ใดบนโลกใบนี้ก็ยากที่จะเอาชนะเขาได้

บทกวีทั้งห้าจากการแข่งขันเมื่อวันที่สองนั้น แม้ว่าเขาจะพยายามหาข้อตำหนิเยี่ยงไรก็หามิเจอ อีกทั้งอ่านแล้วก็ยังรู้สึกรื่นรมย์มิเสื่อมคลายอีกด้วย ความสามารถเช่นนี้ของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เขาจำต้องนับถือ !

ท่านนักปราชญ์จ้วงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลีซานบัดนี้แววตาได้เจิดจรัสมากเช่นกัน เขามิได้เอ่ยอันใดออกมา เขาเพียงแค่หยิบกระดาษและพู่กันออกมา แล้วบรรจงคัดลอกบทกวีทั้งห้าบทนี้ใส่ในกระดาษทั้งห้าแผ่น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)