นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 378

สรุปบท ตอนที่ 378 บุกปล้น: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 378 บุกปล้น จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 378 บุกปล้น คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 378 บุกปล้น

รถม้าขบวนหนึ่งได้เคลื่อนออกจากพระราชวังเพื่อไปยังทะเลสาบสือหลี่

ม้าเร็วตัวหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาอย่างว่องไว แล้วจากนั้นก็ได้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อเข้าไปหยุดอยู่ตรงกลางของขบวนรถม้า

“ถวายบังคมไทเฮา ฟู่…องค์ชายใหญ่ได้นำองค์หญิงไท่ผิงและลูกเลี้ยงของขันทีเกาไปยังคุกใหญ่ บัดนี้ขันทีเกา…ถูกลูกเลี้ยงของเขาแทงจนสิ้นชีพแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ในขบวนรถม้านั้นได้ตกสู่ภวังค์ความเงียบไปชั่วขณะ เสียงของไทเฮาก็ได้ทลายความเงียบนี้ลง “อ่า…ข้ารู้แล้ว นำซากขันทีเกาไปให้สุนัขกินเสีย”

“น้อมรับคำสั่งไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หนานกงตงเซวี๋ยกำลังต้มรังนกให้ไทเฮาอยู่ภายในรถม้า นางตกตะลึงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าไทเฮากำลังแย้มพระสรวล

“หลานชายผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่ง”

“ไทเฮา… พระองค์ทรงสังหารขันทีเกาไปเพราะเหตุใดหรือเพคะ ? ”

“เขามิได้สังหารเสียหน่อย แต่เป็นบุตรบุญธรรมของขันทีเกาเองต่างหากเล่าที่สังหารเขา ขันทีเกามีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เซียวเฉียงมิอาจกลับมามีอำนาจได้อีกแล้ว หากขันทีเกาผู้นี้โดนสืบสวนแน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่าย่อมสาวเรื่องไปถึงจัวอี้สิงท่านอัครเสนาบดีฝ่ายขวา เช่นนั้น…จัวอี้สิงมีความผิดเยี่ยงนั้นหรือ หากมองผ่านมุมมองของฝ่าบาท จัวอี้สิงได้ลอบสังหารองค์ชายใหญ่ถึง 2 ครา แน่นอนว่าเขาสมควรตาย แต่ถ้ามองในแง่มุมคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง เขาก็ย่อมมิสมควรตาย”

“ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงมิไต่สวนขันทีเกา เพราะเห็นแก่คุณงามความดีที่จัวอี้สิงอุทิศให้บ้านเมืองที่ฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้ และในวันนี้จัวอี้สิงได้เดินทางไปยังคฤหาสน์จิ้งหู แม้ว่าจะมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อองค์ชายใหญ่ แต่ทว่าที่องค์ชายใหญ่ทรงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการโต้ตอบต่อจัวอี้สิง เดิมทีอายเจียยังกังวลว่าเขาจะมิยอมปล่อยจัวอี้สิงไปอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นเขากระทำเช่นนี้แล้ว ก็เปรียบได้ว่าหนี้ได้ทำการชำระล้างแล้ว”

ครานี้หนานกงตงเซวี๋ยถึงได้เข้าใจ นางย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและท่านปู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเมื่อวันก่อน แล้วดูเหมือนว่าเขาจะมิได้คิดเอาผิดจัวอี้สิงเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมา

แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดี จัวอี้สิงย่อมเห็นใจต่อความมีเมตตาของพระองค์ แล้วสำนักพระราชวังก็ย่อมมิสร้างคลื่นอันใดมาอีก

……

ฟู่เสี่ยวกวนได้นำอู๋หลิงเอ๋อร์และกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายภายใต้การบังคับบัญชาของถังเชียนจวินออกเดินทางอีกครา แต่แน่นอนว่าเขามิได้ไปที่ทะเลสาบสือหลี่

แต่เขากลับไปยังจวนของขันทีเกา

“ท่านพี่ ท่านต้องการทำสิ่งใด ? ”

“ขันทีเกาผู้นั้นเอาเงินพี่ไปถึง 12,000 ตำลึง พี่จะต้องเอากลับมาให้ได้ ! ”

“……? ”

สมองของอู๋หลิงนั้นตามไม่ทันจังหวะของฟู่เสี่ยวกวน นางคิดว่าไม่นานเขาก็จะได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว จากนี้สืบต่อไปทุกสิ่งบนผืนปฐพีนี้ย่อมเป็นของเขา แล้วมันคุ้มค่าเยี่ยงไรที่ต้องบุกเข้ามาแล้วฉีกตราของกรมราชทัณฑ์ที่ติดตรงประตูเพียงเพื่อเงินแค่ 12,000 ตำลึง

“หลิงเอ๋อร์…พี่เป็นคนมัธยัสถ์ ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสามของเจ้าเองกว่าจะหาเงินมาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ธุรกิจนี้ใหญ่โต แต่รายจ่ายในแต่ละเดือนก็มากมายมหาศาล อีกอย่างเงินที่พี่ให้เขาไป 12,000 ตำลึงเดิมทีก็เพื่อซื้อข่าวคราวของเป่ยหวังฉวน ขันทีเกาผู้นี้รับเงินไปแล้วแต่ก็มิทำตามสัญญา นี่ถือเป็นการผิดสัญญาเพียงฝ่ายเดียว พี่ก็เลยต้องเก็บเงินคืน และก็สมควรฉวยโอกาสเก็บค่าปรับเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยใช่หรือไม่เล่า ? ”

อู๋หลิงตกตะลึงกับอีกด้านหนึ่งของผู้ที่เป็นพี่ของนาง

เขาได้สั่งการให้ถังเชียนจวินพังทลายประตูจวน จากนั้นก็ให้กองกำลังองครักษ์ชุดแดงค้นหาทุกสิ่งที่มีมูลค่าในจวน แล้วขนย้ายออกมาให้หมดสิ้น

เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ สายตาของเขาก็ดันไปสะกิดเข้ากับหินเทพสิงโตคู่ที่วางอยู่หน้าประตูจวน จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย “น่าเสียดายยิ่ง ข้าควรจะยกทัพกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งพันนายมาเสียให้หมด”

อู๋หลิงได้ตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน นางคิดในใจว่านี่หรือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวรรณกรรม ?

เหตุใดถึงได้ละโมบสมบัติมากถึงเพียงนี้กัน ?

หรือว่าเขายากจนถึงขั้นที่ต้องไปทำไร่ทำนา ?

ถังเชียนจวินตกตะลึง เขาลองใคร่ครวญแล้วจึงมิได้เกรงใจอีกต่อไป เขานำตั๋วเงินออกไปตามจำนวนที่ฟู่เสี่ยวกวนบอก จากนั้นจึงนำขบวนกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายที่บัดนี้ตาลุกวาวเพราะเงินและทรัพย์สมบัติเหล่านั้น

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน ซูซูและคนอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นสมบัติวางกองพะเนินเป็นภูเขาก็ตกตะลึงกันเสียยกใหญ่

“นี่เจ้าไปทำอันใดมา ? ”

“ปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ข้าจะเอ่ยให้ฟัง ในกองนี้ยังมีอีกครึ่งที่เป็นของอู๋หลิงเอ๋อร์น้องสาวของข้า หากนางมิยอมรับไว้ก็เท่ากับว่านางต้องการนำไปลงทุน พวกเจ้าจงรีบนำของเหล่านี้ไปขายเพื่อแลกเป็นเงินสดเสีย จากนั้นก็จงนำไปใช้”

ต่งซูหลานลองประเมินค่าคร่าว ๆ ด้วยสายตา ทรัพย์สินเหล่านี้รวมกันเกรงว่าจะมีมูลค่าถึง 50 ล้านตำลึง ความกระหายทรัพย์ของนางก็ทำงานในทันที ซื้อ ๆ ๆ !

“พรุ่งนี้พวกข้าจะไปซื้อห้างร้านที่ตรอกส่าจิน อีกทั้งก็ถือโอกาสไปดูว่านอกเมืองกวนหยุนมีที่นาเหมาะ ๆ หรือไม่ ในอนาคตพวกเราอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่า พวกโรงฝีมือเหล่านั้นก็ต้องสร้างใหม่ หากต้องส่งมาจากแคว้นหยูก็เกรงว่าจะไกลจนเกินไป”

ดังนั้นเมื่อต่งซูหลานลองคำนวณดูแล้ว อู๋หลิงเอ๋อร์ก็เพิ่งค้นพบว่าตนมีทุนไม่มากพอที่จะสนับสนุนแผนกิจการเหล่านี้ของพวกนาง

“มิพอเสียด้วยซ้ำ…”

ฟู่เสี่ยวกวนกัดริมฝีปาก หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนเป็นร่องลึก “เยี่ยงนั้นจะต้องบุกไปปล้นอีกกี่จวนถึงจะพอ ? ”

เขาหันไปมองอู๋หลิงเอ๋อร์ “ตระกูลเซียว…สามารถบุกปล้นได้หรือไม่ ? ”

“……! ”

อู๋หลิงเอ๋อร์แทบจะล้มทั้งยืน

“พลาดแล้ว ข้าควรจะจัดการจัวอี้สิงเสียมากว่า มิได้การละ พรุ่งนี้ข้าจะไปเยือนจวนของจัวอี้สิง เขาเจตนาจะฆ่าข้าถึงสองครา และคราล่าสุดก็เป็นเขาที่เปิดโปงรอยเท้าของเป่ยหวังฉวนให้กับขันทีเกา แค้นนี้จะต้องชำระ ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)