นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 383

สรุปบท ตอนที่ 383 แสงสุริยาอบอุ่นกำลังดี: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนที่ 383 แสงสุริยาอบอุ่นกำลังดี – ตอนที่ต้องอ่านของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอนนี้ของ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายทะลุมิติทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 383 แสงสุริยาอบอุ่นกำลังดี จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 383 แสงสุริยาอบอุ่นกำลังดี

เจ็ดค่ำเดือนสี่

ณ สวนดอกไม้ด้านหลังของวังเตี๋ยอี๋แห่งราชวงศ์หยู

ที่นี่มีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิมากยิ่งกว่าเมืองกวนหยุน

ณ สวนดอกไม้แห่งนี้มีดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ มีดอกไห่ถางสีสันสดใส มีกลีบเป็นชั้น ๆ ราวกับปุยเมฆ เปรียบดั่งคลื่นในมหาสมุทร ราวกับดินแดนในเทพนิยาย

มีฝูงผีเสื้อร่ายรำท่ามกลางบุปผา มีฝูงผึ้งที่กำลังขะมักเขม้นท่ามกลางหมู่เกสร

ภาพช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลินี้ช่างงดงามยิ่งและหมู่ผกาได้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งศาลาซิ่วชุน

ฮองเฮาซั่งฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าปอและกำลังชงชากาใหม่ ฮ่องเต้หยูยิ่นทรงยืนประชิดริมหน้าต่างและทรงทอดพระเนตรไปยังมหาสมุทรบุปผาภายใต้แสงสุริยาของฤดูใบไม้ผลิ สายตาของพระองค์นั้นมิได้เพ่งเล็งไปยังที่ใดเป็นพิเศษ ความคิดของพระองค์นั้นได้ล่องลอยไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกล

“ฝ่าบาท ในเมื่อจักรพรรดิเหวินทรงส่งพระราชสาสน์มาให้นั้นย่อมหมายความว่าเรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่ “ข้าคิดว่าจักรพรรดิเหวินเพียงแค่อยากพบเขาเพียงเท่านั้น แต่คาดมิถึงว่าเขาจะประทับใจในตัวฟู่เสี่ยวกวนจนได้ ! ”

พระองค์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับไปอย่างเชื่องช้า ฮองเฮาซั่งได้นำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ ส่งมอบให้ จากนั้นทรงแย้มพระสรวลด้วยความเรียบเฉย “หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เยี่ยงฟู่เสี่ยวกวน จักรพรรดิเหวินย่อมโปรดปราน เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เรื่องนี้มิได้น่าแปลกใจมากเท่าใดนัก”

“เขาใกล้จะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋แล้ว แต่ทว่าข้า…ข้าจะจัดการเยี่ยงไรกับห้างร้านเหล่านี้กัน ? ”

ฮองเฮาซั่งหลุดแย้มพระสรวลออกมา ช่างมีเสน่ห์และน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าดอกโบตั๋นเสียอีก

“ฝ่าบาทอย่าได้หลงลืมไปนะเพคะว่าเขาเป็นราชบุตรเขยของพระองค์”

ฮ่องเต้ชะงักเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่าเขาจะกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“มิได้หมายความว่าจะกลับมาเลยเสียทีเดียว เขาเป็นผู้ประพันธ์หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น จะนำแนวคิดไปผลักดันเยี่ยงไรให้สัมฤทธิ์ผล จะบริหารเยี่ยงไร เรื่องนี้เขาย่อมเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว ”

สิ่งที่ฝ่าบาทพึงกระทำนั้นคือการนำนโยบายของฟู่เสี่ยวกวนส่งมอบให้กับทางฝ่ายบริหารของทางราชสำนักจัดการ จริง ๆ มันก็มีข้อดีของมันอยู่เช่นกัน หากให้ฟู่เสี่ยวกวนทำการผลักดันนโยบายด้วยตัวเขาเองก็อาจจะประสบผลสำเร็จได้เป็นเท่าตัว มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้

แต่ทว่าเวลานี้เมื่อข้อสรุปได้ออกมาเป็นเช่นนี้แล้วเขาสามารถชี้แนะวิธีการโดยผ่านจดหมายได้ ส่วนหน้าที่ในการผลักดันนั้นก็ได้ตกอยู่บนบ่าของเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย พวกเขาย่อมจะได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่แอบแฝงอยู่ในนั้น หรืออาจจะต่อยอดออกมาเป็นความคิดใหม่ ๆ ได้ แต่สำหรับราชวงศ์หยูแล้ว นี่เป็นขั้นตอนที่คนมีความสามารถคนหนึ่งจะมีโอกาสได้สร้างสมประสบการณ์”

“เช่นนั้นแล้ว…ฝ่าบาท เหรียญย่อมมีสองด้าน มีทั้งดีและมิดี จงเพ่งมองสิ่งที่ดีแล้วหลีกเลี่ยงสิ่งมิดีเสีย”

ทันใดนั้นฮ่องเต้เหมือนดั่งได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พระพักตร์ของพระองค์นั้นได้แย้มพระสรวลออกมา

พระองค์ทรงยกถ้วยชาขึ้นมาลิ้มรสชาติ แล้วทรงตรัสด้วยความเห็นใจ “หยูเวิ่นหวินต้องอยู่ในความลำบาก เมืองกวนหยุนนั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูง อาหารการกินก็ไร้ความประณีต ราตรียามฤดูหนาวก็มีหมอกทึบ ช่างแตกต่างกับเมืองจินหลิงมากยิ่งนัก เฮ้อ… ! ”

“ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องเป็นกังวลมากเกินไป ฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่หนักแน่นในความรู้สึก เขาย่อมมิปฏิบัติไม่ดีต่อเวิ่นหวิน อีกทั้งเขายังได้เข้าไปมีอำนาจในพระราชตำหนักบูรพา หม่อมฉันคิดว่า…เห็นทีว่าฝ่าบาทจะสามารถนำกองกำลังอีก 20,000 นายย้ายไปประจำการที่หลานหลิงได้เสียที”

พระนางได้รินชาเติมให้ฝ่าบาท จากนั้นจึงเอ่ยเสริม “ศึกทางตะวันออกนั้นจะจบสิ้นในเร็ววัน ส่วนปัญหาทางเหนือนั้นนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเรามิอาจให้กงเซินจ่างเหิมเกริมได้อีกต่อไป”

“หม่อมฉันประสงค์อยากทราบความหมายของฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ทรงพระราชดำริ “เขาเป็นคนของราชวงศ์อู๋ไปแล้ว แม้ว่าบัดนี้จะยังมิได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์อู๋ และยังคงถวิลหาราชวงศ์หยูอย่างสุดซึ้ง แต่เยี่ยงไรเสียเมื่อใช้ชีวิตในราชวงศ์อู๋นานไปก็ย่อมเกิดความรู้สึก อีกทั้งเขายังจะได้เป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันนี้อีกด้วย ในด้านผลประโยชน์ต่อบ้านเมืองนั้น เขามิอาจกระทำการใดที่ทำให้ราชวงศ์อู๋ได้รับความเสียหาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าควรนำหอซี่หยู่นั้นกลับคืนมา เยี่ยงไรเสียเมื่อเขาได้เป็นองค์จักรพรรดิ เขาก็ย่อมกุมอำนาจเหนือหอเทียนจีอยู่แล้ว”

ฮองเฮาซั่งทรงพยักหน้าเห็นด้วย “ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะส่งปิ่นปักผมกลับไป เขาเข้าใจเรื่องของหอซี่หยู่เป็นอย่างดี เรื่องนี้จำต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เนื่องด้วยต้องผลักดันความมั่งคั่งของแคว้น จึงจำต้องให้เขายังคงความเกี่ยวข้องเอาไว้ ในส่วนของภายภาคหน้า…ในภายภาคหน้าเมื่อทั้งสองแคว้นได้เชื่อมสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน หรือแม้ว่า…”

ฮองเฮาซั่งมิได้ตรัสให้จบประโยค พระนางมิประสงค์ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะฟู่เสี่ยวกวนคือชายหนุ่มที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเมื่อยามเขาเกิด เขาเติบโตในผืนปฐพีของราชวงศ์หยู อีกทั้งยังเป็นราชบุตรเขยของพระองค์อีกด้วย

“วันนี้แสงแดดอบอุ่นกำลังดี มิทราบว่าฝ่าบาททรงมีเวลาว่างไปกำจัดวัชพืชที่ลานตำหนักของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ ? ”

“ฮ่า ๆ ๆ ข้ามิได้จับพลั่วมานานแรมปีแล้ว เมื่อฮองเฮาเอ่ยเช่นนั้น ข้าลองกลับไปเป็นเกษตรกรอีกคราก็ได้ ”

ขันทีเจี่ยโค้งคารวะอยู่ตรงมุมของศาลาซิ่วชุนอยู่ตลอดเวลา เขาอยู่ในที่ซึ่งแสงสุริยาสาดมามิถึง ราวกับไร้ซึ่งตัวตน

ในส่วนของเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเผชิญในระหว่างที่อยู่ในแผ่นดินของราชวงศ์อู๋นั้น ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรข้อความเหล่านั้นหมดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนเกือบจะโดนลอบสังหาร

โหยวเป่ยโต้วกลับปรากฏตัวขึ้นมา !

อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส !

“เจ้าห้ามตาย หากเจ้าตาย ผู้ใดจะดูแลดอกเหมยนับหมื่นบนภูเขาลั่วเหมยกัน ! ”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)