เมื่อแสงสุริยาได้สาดส่องลงมาสู่พื้นธรณีของเช้าวันใหม่ กระท่อมหลังคามุงจากที่กลางเขาหลังนี้ได้ส่งควันลอยโขมงขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปออกกำลังกายแต่อย่างใด เขากำลังจัดแจงมื้อเช้าอยู่ในครัว
เขาต้มโจ๊ก แล้วก็นึ่งหมั่นโถวสองสามลูก จากนั้นก็ทำไข่ดาวอีกสามฟอง ไม่สิ แค่สองฟองเพราะเซี้ยวเซี้ยวอยากกินไข่ต้มน้ำ
เขาจัดแจงอาหารเช้าด้วยความช่ำชอง เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหยุนเหนียงได้เฝ้ามองเขาอยู่ที่ประตูห้องครัว และนางได้ยืนมองเขาด้วยความตั้งใจ
นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าครัวตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือน แต่ทว่าท่าทางของเขานั้นมิได้ดูอ่อนหัดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูลื่นไหลและงดงามราวกับว่าเขาเข้าครัวเป็นประจำ
นี่เขาเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่ !
เขาดูมิเหมือนนักวรรณกรรมเลยเสียทีเดียว
แต่เหตุใดองค์จักรพรรดินีจึงอยากได้เชื้อเขาไปมากยิ่งนัก ?
หยุนเหนียงพยายามคิดเช่นไรก็คิดไม่ออก นางคิดออกเพียงแค่ว่าชายผู้นี้อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่นางยังมิรู้
นางจึงเดินเข้าไป ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันมามองเธอ จากนั้นเขาจึงส่งยิ้มให้แล้วสนทนากันราวกับสามีภรรยาที่สนิทสนมกันมาช้านาน “ตื่นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ข้าคิดว่าเลี้ยงดูลูกมิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด เรื่องงานครัวนี้ข้าถนัด ข้าจะปรุงมื้อเช้าให้เจ้าและเซี้ยวเซี้ยวเอง”
“เจ้าจะไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อ่า อีกประเดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็คงจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว หากเซี้ยวเซี้ยวยังมิตื่นก็อย่าได้ปลุกนางล่ะ เพื่อเลี่ยงมิให้นางต้องรู้สึกเสียใจ”
หยุนเหนียงเดินเข้าไปแล้วนั่งลงผิงไฟหน้าเตา จากนั้นนางจึงได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา “เสื้อผ้าของเจ้าขาดวิ่นหมดแล้ว จะเย็บก็ซ่อมแซมมิได้ ข้าเลยซื้อชุดใหม่มาให้เจ้าสองชุด อีกอย่างอย่าลืมของของเจ้าที่วางอยู่ในตู้หลังประตูเชียวล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งเงินให้เจ้าเพื่อเป็นค่าเดินทาง…”
ไฟร้อนจากเตาได้ส่องกระทบใบหน้าของหยุนเหนียงทำให้หน้าของนางเป็นสีแดง นางคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เอ่ยถามต่อ “แคว้นหยูนั้นอยู่ห่างไกลไปราว 3,000 ลี้ เจ้าเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาคาราวานสินค้าติดตามไปย่อมมิดีกว่าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือนวดแป้ง แล้วยิ้มตอบ “อย่าว่าแต่ในเมืองเลย แม้แต่ในตัวอำเภอข้าก็เกรงว่าจะมิมีคาราวานสินค้าไปแคว้นหยูน่ะสิ หยุนเหนียง…”
“หือ… ? ”
“ที่นี่ห่างจากเมืองฝานหนิงไกลเท่าใด ? ”
“ราวร้อยลี้”
“อ่า…เยี่ยงนั้นก็มิได้ไกลมากนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ก้มหน้าลงนวดแป้งต่อไป หยุนเหนียงนั้นต้องการจะหาซื้อม้าให้เขาสักตัว แต่สภาพนางที่พักในกระท่อมหลังคามุงจากเช่นนี้ จะไปมีปัญญาหาตั๋วแลกเงินเป็นร้อยตำลึงได้เยี่ยงไรกัน ?
ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ทำได้เพียงให้เงินติดตัวเขาไปเพียงหยิบมือ เขาเป็นชายอกสามศอก คงมิอดตายระหว่างทางหรอก !
เมื่อข้าวสุก และแป้งหมั่นโถวได้ถูกนึ่งจนสุกพอดี ตอนนั้นสุริยาก็ได้เริ่มสาดแสงลงมามากแล้ว มีเสียงไก่ขันดังแว่วมาจากตอนล่างของหมู่บ้าน แน่นอนว่าเซี้ยวเซี้ยวยังคงหลับใหลอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนและหยุนเหนียงได้นั่งมื้อเช้าที่โต๊ะกันอย่างเงียบเชียบ หยุนเหนียงจัดการเก็บเครื่องครัวจานชามต่าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนได้ย่องเข้าไปยังห้องของหยุนเหนียงเพื่อมองหน้าเซี้ยวเซี้ยว จากนั้นจึงพรมจูบบนใบหน้าน้อย ๆ นั่นอย่างแผ่วเบา แล้วจึงเดินออกไปยังห้องของตน
บนเตียงนั้นมีชุดผ้าปอแขนสั้นสะอาดสะอ้าน และมีเสื้อคลุมผ่ากลางอีกหนึ่งตัววางไว้อยู่
เขาเปิดตู้นั้นออกแล้วนำของส่วนตัวออกมา จริง ๆ แล้วนั้นมีเพียงแค่สองอย่าง ก็คือปืนหนึ่งกระบอกกับตราหยกดำประจำราชวงศ์อู๋
เพราะวันนั้นเป็นพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ เลยทำให้เขามิได้พกเงินติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว
เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดแขนสั้นแล้วนำสิ่งของที่เหลือยัดใส่เสื้อคลุม แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู เขาหันมามองกระท่อมหลังนี้ที่เป็นที่พักพิงต่อของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แล้วจึงได้ฉีกยิ้มออกมา
บ้านน้อยแสนซอมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ
แท้ที่จริงนั้นเรือนซอมซ่อแห่งนี้อยู่แล้วก็มิได้สุขสบายแต่อย่างใด
จะเอ่ยเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกว่าขัดต่อความรู้สึกของตนเสียจริง ๆ
เมื่อเขาเดินไปถึงประตูของกระท่อม หยุนเหนียงก็ได้หยุดยืนอยู่ตรงนั้นพอดี นางให้เงินฟู่เสี่ยวกวนติดตัวไปสามตำลึง “นี่มันยังน้อยเกินไป ระหว่างทางเจ้าจงคิดวิธีหาเงินเสีย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อ้อยอิ่งใด ๆ เขารับมันมา จากนั้นก็ชี้ไปยังแปลงนาด้านหน้า “หากเจ้าต้องการจะย้ายก็จงรีบทำ อย่าได้เสียดายแล้วเสียเวลารอพืชผลเหล่านั้น ปีนี้ดูท่าจะมิราบรื่นเท่าใดนัก หากเจ้าพอมีเงินเหลือก็จงไปซื้อข้าวและอาหารมากักตุนไว้เสีย เกรงว่าต่อไปราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)