ตอนที่ 389 สตรีผู้เข้มแข็ง
ณ จวนตระกูลฟู่ประจำเมืองหลวงแห่งแคว้นหยู
ในราตรีที่แสงจันทร์ส่องกระจ่าง ณ ศาลาที่พักเถาหรานได้มีโคมไฟส่องแสงสว่างไสว
ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวพวกนางได้นั่งรวมกันอยู่ในศาลาแห่งนี้
มิมีผู้ใดจัดแจงต้มชา หรือแม้แต่วาจาก็หาได้มีผู้ใดอยากเปล่งออกมาไม่
พวกนางได้พำนักอยู่ที่เมืองกวนหยุนจนกระทั่งถึงปลายเดือนของเดือนห้า ทว่าก็มิได้ยินข่าวคราวใดของฟู่เสี่ยวกวนกลับมาเลยแม้แต่น้อย
ศพที่ถูกหิมะถล่มครานั้นล้วนแต่ถูกค้นเจอหมดแล้วทั้งสิ้น จักรพรรดิเหวินได้ลาลับสู่สวรรคาลัย ทว่ากลับมิมีผู้ที่ค้นเจอร่างไร้วิญญาณของฟู่เสี่ยวกวน บางคนได้เอ่ยว่าบางศพนั้นถูกหิมะกระแทกใส่เสียจนแหลกละเอียด จนยากที่จะบอกได้ว่าเป็นใคร ความหมายก็คือฟู่เสี่ยวกวนนั้นตายไปแล้วอย่างมิต้องสงสัย แต่ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกลับมิยอมปักใจเชื่อ
บัดนี้ศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋าไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย ศิษย์พี่สามซูโหรวหรือศิษย์พี่หกซูซูเองก็ยังคงยืนหยัดปักหลักอยู่ที่เกิดเหตุ เพราะซูเจวี๋ยเชื่ออย่างหนักแน่นว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังมิตาย เหตุนี้เป็นเพราะว่าเมื่อค้นหาซากสิ่งของทั้งหลายที่หลงเหลือนั้น เขายังมิพบของวิเศษประจำตัวของฟู่เสี่ยวกวนที่เขามักจะพกติดตัวอยู่เสมอ !
และเหล่าทหารประจำราชวงศ์อู๋ก็ได้ทำการขุดพื้นหิมะราวสามหลาเพื่อที่จะค้นหาสิ่งของบางอย่าง หลังจากนั้นจึงได้ยินมาว่า พวกเขากำลังค้นหาตราหยกประจำราชวงศ์อู๋ทีใช้สืบทอดกันมาช้านานในพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ !
เมื่อมิมีตราหยกประจำราชวงศ์ สถานะขององค์จักรพรรดิก็จะมิสมบูรณ์แบบมากนัก !
ดังนั้น พวกเขาจึงได้กวาดล้างหิมะที่ไหลท้วมท้นปริมาณมหาศาลบริเวณหุบเขาออกไปจนหมดสิ้น ทว่าก็ยังคงมิพบตราหยกประจำราชวงศ์ และซูเจวี๋ยก็ยังคงไม่พบเจอของวิเศษชิ้นนั้นเช่นกัน
และนี่เป็นข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง
สงสัยก็เพียงแต่ว่า…หิมะถล่มครานั้นได้กระชากร่างคนไปไกลถึงเพียงใดกัน ?
ที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่หุบเขา มิว่าจะกระชากร่างไปไกลเพียงใดก็ยากที่จะออกไปจากบริเวณหุบเขาแห่งนั้น มิมีทางที่จะกระชากร่างคนจนไปติดบนภูเขาได้
แต่มิมีใครคาดคิดว่าในราตรีนั้นเอง อู๋หลิงเอ๋อร์บังเอิญเป็นผู้ที่ขุดพบร่างของฟู่เสี่ยวกวน และก็มิมีผู้ใดคาดคิดอีกเช่นกันว่านางได้อาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนต่างชุลมุนใจกล้าทำสิ่งที่ผู้อื่นมิคาดคิดออกมา นางได้ผูกร่างของฟู่เสี่ยวกวนไว้ที่หลังของนาง จากนั้นก็ได้ขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปจากที่ราบสูงหลีลั่วไปยังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางเบื้องล่างของที่ราบสูงแห่งนี้
ที่นางทำไปเช่นนี้นั้นมิใช่ว่านางต้องการเป็นจักรพรรดินี แต่เป็นเพราะว่านางต้องการมีบุตรกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงเท่านั้น !
นางยังคงคิดเฉกเช่นราตรีนั้นที่นางได้แบกร่างของชายหนุ่มแล้วขี่ม้าตรงไปยังพระราชวัง
ข้ามิประสงค์โชคชะตาเช่นนี้ !
ถ้าหากลิขิตนี้มีตัวตน ข้าก็จะกำจัดมันทิ้งเสียจนสิ้นซาก !
ถ้าหากนี่คือลิขิตแห่งสรวงสรรค์ ข้าก็จะฟันสรวงสวรรค์ให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ !
นางจะใช้พละกำลังของตนฟันสวงสวรรค์ให้แหลกละเอียด !
จากนั้นนางก็ได้ค้นพบปัญหา ถ้าหากว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมาสืบทอดราชสมบัติ และตนก็ได้ตั้งครรภ์กับเขาแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะทำเยี่ยงไร ?
นางรู้ดีว่านี่ผิดต่อศีลธรรม และถ้าหากว่านางขืนเปิดโปงออกไป นางคงจะต้องตายสถานเดียว แล้วเด็กในท้องก็คงจะต้องตายเช่นเดียวกัน
จะให้เป็นเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด !
แต่นางก็เข้าใจความปรารถนาของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแจ่มแจ้ง ในเมื่อนางถูกสถาปนาให้เป็นจักรพรรดินี ฟู่เสี่ยวกวนก็คงมิมาเหยียบบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋อีกต่อไป !
ท้ายที่สุด ไทเฮาก็จะไร้ซึ่งทางเลือก และแล้วเมื่อหนึ่งค่ำเดือนหกนางก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินีอย่างกะทันหัน และเป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋
และในตอนเช้าตรู่ของหนึ่งค่ำเดือนหกนั่นเอง หนานกงอี้หยู่ได้มาเยือนยังตำหนักหยางซิน
เขาเคลื่อนบันไดแล้วปีนขึ้นไปตรงขอบของพัดที่ติดอยู่ตรงผนัง จากนั้นก็ได้ค้นพบกล่องหยกสีดำ
เขาได้นำกล่องนั้นออกมาแล้วจึงเปิดดู จากนั้นก็นำพระราชกฤษฎีกาใส่กลับเข้าไปอีกครา เมื่อได้นำกล่องหยกดำอันนี้กลับคืนสู่ที่เดิมแล้วเขาก็ได้จากไปอย่างเงียบเชียบ
สิ่งของชิ้นนี้และเรื่องนี้มีเพียงแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)