จินหลิงยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่ว่าฝนที่ตกลงมานี้มิได้รุนแรงเท่าใดนัก เพียงแค่โปรยปรายเป็นหยาดละอองเท่านั้น
ชายคาศาลาเถาหรานในจวนฟู่หยดน้ำค่อย ๆ หยดลงต่อกันกลายเป็นม่านฝน หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งอยู่ในศาลา มองดูทะเลสาบซวนอู่ที่ปกคลุมไปด้วยม่านฝนและไอหมอกไกลจนสุดลูกหูลูกตา
“พี่ชูหลานไปยังซีซานได้ราวครึ่งเดือนแล้ว มิรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเป็นเยี่ยงไรบ้าง พี่เวิ่นหวิน ข้า…ข้าอยากไปดูที่ซีซานสักหน่อย”
หยูเวิ่นเหวินถอนหายใจ “ข้าเองก็อยากไป เพียงแต่…”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวกัดริมฝีปาก ในใจแน่วแน่ “พี่สาว การค้าที่จินหลิงบัดนี้ก็เป็นปกติดี ข้ามิมีแก่ใจที่จะอยู่ที่นี่ พวกเราเดินทางกันพรุ่งนี้เลยเป็นเยี่ยงไร ? ”
“หากเขาเกิดกลับมาจินหลิงจะทำเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วกล่าวว่า “ในเมื่ออู๋หลิงเอ๋อร์ราชาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดินี เขามิมีทางกลับไปที่เมืองกวนหยุนอย่างแน่นอน เพราะเขามิได้อยากเป็นจักรพรรดิของที่นั่น อีกทั้งเขายังเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน เรื่องนี้คือความจริง ดังนั้นข้าคิดว่าเขาจะต้องหลบซ่อนตัวปิดบังชื่อเสียงเรียงนามไปสักพัก รอให้อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ครองตำแหน่งอย่างมั่นคงเสียก่อน เขาถึงจะเผยตัวตนออกมา มิเช่นนั้นคาดว่าคงจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของราชวงศ์อู๋และราชสำนักอย่างแน่นอน”
“ในเมื่อต้องปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม เช่นนั้นแล้วเขามิมีทางกลับมายังจินหลิง ที่จินหลิงมีผู้คนรู้จักเขาตั้งมากมาย ข่าวนี้จะแพร่ไปยังราชวงศ์อู๋อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นแล้วความตั้งใจของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว”
ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเปล่งประกาย “ดังนั้นหากเขาจะกลับมา เขาจะต้องไปที่ซีซานอย่างแน่นอน แม้แต่เมืองหลินเจียงเขาก็มิอาจจะเผยตัวด้วยซ้ำ ! ”
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนจะว่าที่นางกล่าวมานั้นค่อนข้างมีเหตุผล นางก็ฉลาดมิน้อยเลยนี่ “ได้ เยี่ยงนั้นพรุ่งนี้พวกเราเดินทางกัน ! ”
……
รัชสมัยเซวียนลี่ เดือนแปด วันที่สิบห้า
เทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึงอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนยังไร้ซึ่งข่าวสารใดๆ แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์นี้กลับยังต้องดำเนินต่อไป
หลานถิงจี๋แห่งทะเลสาบเว่ยยางยังคงมีการจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพียงแต่ห้านักปราชญ์เลื่องชื่อในปีที่แล้วกลับขาดไป 1 ท่าน อาจารย์ฉิน ฉินปิ่งจงนึกมิถึงว่าจะไปยังหลินเจียง เขามิได้ไปยังสำนักศึกษาหลิงเจียง แต่ทว่ากลับไปยังสำนักศึกษาซีซาน
ชื่อสำนักศึกษาแห่งนี้ยังมิมีผู้ใดเคยได้ยินมาก่อน หลังจากนั้นถึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาที่ซีซาน
ยามนี้ข่าวการจากไปของฟู่เสี่ยวกวนได้แพร่มาถึงจินหลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ฉินเพื่อที่จะสานต่อปณิธานของฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยอมละทิ้งหน้าที่เพื่อไปให้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ยังสำนักศึกษาแห่งนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลื่อมใสในตัวเขา
ดังนั้นจึงมีอาจารย์ที่เกษียณอายุจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยติดตามเขาไปยังสำนึกศึกษาซีซานด้วย
ช่างกวนเหวินซิ่วมาถึงหลานถิงจี๋เนิ่นนานแล้ว เขายืนอยู่เบื้องหน้าของหินเชียนเปยสือ แล้วมองดูบทกวีทำนองเพลงสายน้ำอย่างเงียบ ๆ
ในใต้หล้านี้มิมีฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว ผู้ใดจะขับทำนองร้องเพลงสายน้ำได้อีก !
บางทีอาจเพื่อรำลึกถึงนักวรรณกรรมฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนที่มาหลานถิงจี๋ในปีนี้ถึงได้มากเป็นพิเศษ
แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษา ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ของสมาคมกวีหลานถิงกำลังยืนอย่างสงบอยู่เบื้องหน้าหินเชียนเป่ยสือ พลางมองดูบทความและบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่ถูกสลักอยู่ด้านบน
“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปซีซาน”
ฉินเหวินเจ๋อหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าบัณฑิต “ยามนี้ฝ่าบาททรงส่งเสริมแผนการของอาจารย์ ข้าจะไปที่สำนักศึกษาซีซาน และนำความรู้ด้านเศรษฐกิจที่อาจารย์ได้สั่งสอนข้า สอนให้กับเด็กเหล่านั้น ถึงแม้ความรู้เหล่านั้นข้าจะเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน อย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้จะเป็นเพียงดวงไฟดวงน้อย ๆ แต่ก็อาจจะกลายเป็นไฟลามทุ่งได้ ! ”
เฉินชู่ลุกขึ้นมา “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย สำนักศึกษาที่นี่มิอาจเปิดสอนหลักสูตรทฤษฎีเก๋ออู้ได้แล้ว บางทีศูนย์วิจัยซีซานอาจจะชี้ทางสว่างให้กับข้าได้”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)