บรรยากาศเคร่งขรึมขึ้นทันใด
ต่งชูหลานยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รินสุราให้ตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “เจ้ามิรู้ว่าเมื่อก่อนข้าและเขารู้จักกันได้เยี่ยงไร”
“เดือนห้าเมื่อปีที่แล้ว ข้ามาที่หลินเจียงเป็นคราแรก ได้พบกับเขาคราแรกที่หอหลินเจียง ที่นั่นเป็นหอสุราที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของหลินเจียง”
“เขายั่วโมโหข้า จากนั้นเขาจึงโดนองครักษ์ของข้าทุบตี…” ต่งชูหลานยกสุราขึ้นดื่มจนหมดอีกครา แต่ครานี้เยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นคนรินสุราให้กับนาง
“คราที่สองก็ได้พบกับเขาที่นี่ หลังจากเทศกาลตวนอู่หนึ่งวัน เขาได้ประพันธ์กวีออกมาสองบท จึงทำให้ข้ารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก สุรากลั่นของเขา ก็ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้พบกันที่หลินเจียงอยู่หลายครา สนทนากันเรื่องบทความและบทกวี วันที่ข้าต้องไปจากหลินเจียง ก็บังเอิญได้พบกันอีกคราที่หอหลินเจียง”
“เขาได้ประพันธ์กวีให้ข้าหนึ่งบท นามว่า ‘หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน’ ”
ต่งชูหลานตกอยู่ในห้วงภวังค์นึกย้อนความทรงจำ บนใบหน้าของนางไม่ได้มีสีหน้าเศร้าใจแต่อย่างใด ท่ามกลางแสงจันทราที่ทอแสงลงมายิ่งทำให้นางดูสวยบริสุทธิ์ยิ่ง
“บทกวีบทนี้ นอกจากประจักษ์พยานในวันนั้นเพียงมิกี่คนแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้อีก”
“เขาเขียนว่าเยี่ยงไร ? ”
แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น”
“ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง กว่าจะล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย”
“ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึง… หวู่อี้อย่างชัดเจน”
“เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง”
“ครั้งนั้นข้าได้ตกตะลึงในความสามารถของเขา แต่ยังมิได้ตกหลุมรักเขาแต่อย่างใด แต่เมื่อข้ากลับมาถึงที่จินหลิง ก็ได้ติดต่อกันผ่านจดหมายหลายฉบับ ข้าถึงรู้สึกตัวว่าข้าได้ตกหลุมรักเขาเสียแล้ว”
ต่งชูหลานดื่มสุราไปเล่าเรื่องราวระหว่างตนกับฟู่เสี่ยวกวนไป ยิ่งดื่มมากไปเท่าใด เรื่องราวที่เล่าก็จะยิ่งละเอียดมากยิ่งขึ้น เล่าจนกระทั่งถึงยามจื่อ
สุราหมดแล้ว ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย มีอาการสะลึมสะลืออยู่สามส่วน
นางสูดลมหายใจเข้าอีกหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นระหว่างข้ากับเขา มิอาจแยกจากกันได้อีก แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วอย่างแท้จริงก็ตาม ในใจของข้านั้นมิอาจรับชายอื่นเข้ามาได้อีก”
“แต่พวกเจ้ามิเหมือนกับข้า เขาเคยบอกข้าไว้ว่าบทความหรือบทกวีมิอาจกินแทนข้าวได้ ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ บทความหรือบทกวีก็มิอาจทดแทนความรู้สึกที่ต้องรับไปชั่วชีวิตได้เช่นกัน ใช้โอกาสนี้ที่เจ้ายังมิถลำตัวลึกมากนัก พรุ่งนี้เจ้ากลับไปเสียเถิด สำหรับหนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้น…ในเมื่อเขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ หนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้นมิได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด”
“แน่นอนว่าเจ้าสามารถเอาไปคืนฝ่าบาทได้ ตัวเขามิอยู่แล้ว ฝ่าบาทต้องรับคืนอย่างแน่นอน”
น้ำตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวไหลออกมาเงียบ ๆ
นางเข้าใจดีว่าที่ต่งชูหลานเอ่ยก็เพราะหวังดีต่อนาง แต่นางก็รู้ตัวดีว่าตนเองชอบฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง จากที่ได้เห็นเขาประพันธ์หนังสือความฝันในหอแดงเล่มนั้นคราแรก นางก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน ฝันถึงช่วงเวลาที่สวยงามในยามที่ได้พบหน้า
ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะได้เดินเข้ามาในชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน แต่เขา…กลับมิอยู่แล้ว !
ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมาทันใด “เรื่องนี้ข้าเพียงให้คำแนะนำกับเจ้าเท่านั้น เจ้ามิต้องรีบตัดสินใจในยามนี้ ใจเย็นลงกว่านี้หน่อยค่อยคิดให้ถี่ถ้วนเถิด ข้ามิได้โทษเจ้า และเจ้า…”
ต่งชูหลานมองไปทางหยูเวิ่นเหวิน “เจ้าเป็นถึงองค์หญิง ฮ่องเต้และฮองเฮามิมีทางยอมให้เจ้าเป็นหม้ายอย่างแน่นอน ดังนั้น…ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะก้าวผ่านไปได้โดยเร็วเช่นกัน ดังเช่นที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า มิว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุริยาก็ยังขึ้นตามเดิมอยู่ทุกวัน”
“เขาจากไปแล้ว แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)