รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนสิบสอง ยามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงจันทรา
ดาบเทวะ 4,000 คนได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำโดยหัวหน้ากลุ่มของแต่ละกลุ่มตามแผนกลยุทธ์ที่ได้กำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วและเข้าสู่ภูเขาผิงหลิงจากทั้งสี่ทิศทาง
หลังจากที่ท่านนายพลเผิงเฉิงอู่แห่งกองทัพเหนือครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งนั้น เขาได้เพิ่มการลาดตระเวนเพื่อป้องกันรักษาค่ายกองทัพสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการใหญ่ และยังได้ส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในภูเขาทางเหนืออีกด้วย แต่ไม่ได้ส่งไปสอดแนมการเคลื่อนไหวของกงเซินจ่าง แต่เพื่ออยากรู้ว่าแท้จริงแล้วมีกองหนุนมาถึงที่นี่หรือไม่
ในราตรีนี้ กงเซินจ่างได้อยู่ที่โถงสำหรับการประชุมชั่วคราวในภูเขาผิงหลิงทางเหนือ ลูกน้องของเขาที่เหลือคือจินกังทั้งห้าคนและภรรยาของเขาจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์ และยังมีที่ปรึกษากับนายพลอีกหลายคน นั่งกันพร้อมหน้าหลังตรง
“พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเผิงเฉิงอู่ผู้นั้นมิสามารถทำสงครามบนพื้นภูเขาได้โดยพลการ ถึงแม้จะดูเหมือนว่ามีกองทัพทหารกว่าหนึ่งแสนนาย แต่แท้จริงแล้วมิสามารถโจมตีได้ แล้วมีอันใดให้ข้าต้องรอมิโต้กลับไปเล่า ? ”
คำถามของจิ้งซุ่ยจินกังได้รับการสนับสนุนจากจินกังที่เหลืออีกสี่คน แต่กงเซินจ่างกลับมิได้พยักหน้า
“รอเพียงชั่วคราวเท่านั้นอย่าได้รีบร้อนไป จุดประสงค์ของข้ามิใช่เพื่อไล่กองทัพทหารทางเหนือออกไป ข้าต้องการ…ยึดครองพวกเขา ! ”
บนใบหน้าของกงเซินจ่างมีรอยแผลเป็นที่ดูดุร้ายน่ากลัวราวกับตัวหนอนผีเสื้อกำลังขยับไปมา แววตาของเขาดูดุร้าย เป็นอย่างมากปากใหญ่ที่มีรอยแตกกล่าวขึ้นอีกครา “เพียงแค่ครอบครองกองทัพทหารทางเหนือได้ อาณาเขตทางเหนือที่กว้างใหญ่นี้ก็จะต้องตกอยู่ในมือของข้า ยามนี้ราชวงศ์หยูกำลังติดพันอยู่กับการทำศึกทางตะวันออก แม้แต่กองทัพทางใต้ก็ยังต้องรุดไปช่วย ฮ่องเต้มิมีปัญญามาดูแลทางเหนือนี้ได้เป็นแน่ ข้ารอให้ทางเหนือฟื้นฟูความมั่นคง รอให้เวลาสุกงอม ค่อยส่งทหารลงใต้ นี่เป็นวิธีการแสวงหาแคว้น ! ”
จิ้งซุ่ยจินกังตกตะลังทันพลัน เพิ่งจะเข้าใจพี่ใหญ่ที่ตนติดตามคาดมิถึงว่าจะมีจิตใจและความทะเยอทะยานที่แรงกล้าเยี่ยงนี้
นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี บางทีพี่ใหญ่อาจจะพลิกราชวงศ์หยูนี้ได้ พวกตนนั้นจากมังกรจะได้เป็นขุนนางสักที ถึงเวลานั้นต้องมียศมีตำแหน่งของขุนนางระดับสูง มีเงินให้ใช้มิขาด
เขาลุกขึ้นยืน และกำหมัดคารวะ “ข้าเป็นคนไร้การศึกษา ทำได้เพียงดูทิศทางหัวม้าพี่ใหญ่ มิว่าท่านพี่จะบัญชาเยี่ยงไร พวกข้าจะทำตามคำบัญชาของท่านพี่ให้จนได้”
ที่ปรึกษาที่อยู่ด้านขวาของกงเซินจ่างลุกขึ้นมา
เขาแกว่งพัดขนนกในมือ กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า “ยามนี้ที่ราชวงศ์หยู ฮ่องเต้ลุ่มหลงมัวเมา ขุนนางทุจริตฉ้อฉล ทำให้ฟ้าพิโรจน์ผู้คนโกรธแค้น มิสนใจประชาชน พี่ชายกงของข้าตอบรับคำเรียกร้องจากสวรรค์ เดินทางมาจากแม่น้ำหวงเหอ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีสั้น ๆ แต่กลับมีกองทัพใหญ่ถึง 200,000 คนได้ ! ”
“ทั้งนี้ก็เพื่อทำตามหัวใจของราษฎร พี่ชายกงของข้าจะเป็นผู้ขุดหลุมฝังศพราชวงศ์หยูเอง ! ”
เขาหยุดพัดขนนกในมือ หมุนตัวไปทำความเคารพกงเซินจ่าง แล้วกล่าวอีกว่า “การลุกฮือของกองทัพ มีฟ้าสีเหลืองเป็นเครื่องชี้นำ ในความเห็นของข้า มิสู้ว่าพี่ชายกงตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาที่นี่ แล้วทำการปฏิวัติปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ ! ”
คำเอ่ยนี้ที่เขาเอ่ยออกมา ทุกคนในโถงประชุมต่างตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ตั้งตนเป็นจักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิเร็วไปหน่อยหรือ ?
อีกอย่างสถานที่โกโรโกโสมิสมบูรณ์เช่นนี้ ต่อให้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ก็ต้องกำจัดกองทัพทหารที่เหลือทั้งหมดอยู่ดี แล้วยึดครองเมืองหย่งหนิงก็ยังมิสาย
จิ้งซุ่ยจินกังที่ได้ฟัง กลับรู้สึกว่าแผนการยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก แต่ยอดเยี่ยมที่ตรงไหนเขาก็บอกมิได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามว่า “คุณชายชือ มิทราบว่าเจตนานี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
คุณชายชือ เขามิใช่คุณชายชือจากตระกูลที่มีอิทธิพลในจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู แต่เขามาจากตระกูลชือที่เมืองหย่งหนิง ตระกูลชือในเมืองหย่งหนิงพอมีอำนาจอยู่บ้าง พ่อของเขาเคยเป็นนายอำเภอของเมืองหย่งหนิง หลังจากตระกูลชือหมดอำนาจ เขาจึงเห็นท่ามิดี ก็เลยมาขอพึ่งพากงเซินจ่าง
คุณชายชือท่านนี้ชื่อว่าชืออัน เคยไปศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลา 4 ปี ศึกษาแผนกองทัพ
จากนั้นก็ได้กลับมาที่เมืองหย่งหนิง เป็นนายทหารผู้ช่วยกองบัญชาการอันดับหนึ่งของกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหย่งหนิง และก็เป็นเขาที่ชักจูงกองกำลังป้องกันรักษาเมืองที่รวมกันอยู่กลางภูเขาหยางเสี่ยวให้ยอมจำนน ทำให้กงเซินจ่างนำคนกว่าหมื่นคนบุกปล้นเมืองหย่งหนิงเสียจนหมดเกลี้ยง
ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รับความโปรดปรานจากกงเซินจ่าง และกลายเป็นหนึ่งในสามผู้ช่วยในกองบัญชาการที่คอยอยู่ข้างกายของกงเซินจ่าง
ชืออันเปิดพัดขนนกในมือ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม และมองดูไปยังจินกังทั้งหลาย และเอ่ยกล่าวช้า ๆ ว่า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)