หลังจากที่สะสางค่ายทหารของแคว้นฮวงแห่งนี้เสร็จแล้ว
กองพลที่สามได้ให้พลทหารมาทำการซ่อมแซมเบื้องต้น
ในหัวของเฉียนห้าวตอนนี้ยังคงสะท้อนคำเอ่ยของเยียนกุ่ยที่ว่า “ทั้งหมดนี้ คือน้ำพักน้ำแรงของคุณชายและไป๋ยู่เหลียน ! ”
เขารู้จักไป๋ยู่เหลียนเป็นอย่างดี แต่กลับรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชายน้อยเป็นอย่างมาก
เขาเคยได้ยินมาว่าชาวซีซานให้ความเคารพต่อคุณชายเป็นอย่างมาก และเขาก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณชาย แต่เขามิเคยเห็นคุณชายผู้นี้มาก่อนเลย
“คุณชาย…เขาเป็นคนแบบไหนกัน ? ”
ควันหนาถูกพ่นออกมาจากปากเยียนกุ่ย คล้ายกับว่าเขากำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์
“คุณชายเยี่ยงนั้นหรือ ข้าก็มิค่อยแน่ใจ แต่ปีก่อนพวกเราได้ตามไป๋ยู่เหลียนไปที่ภูเขาซีซาน นายพลไป๋บอกว่าเขาได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากและชายคนนั้นก็คือคุณชาย”
“ในตอนนั้นหลังจากที่พวกเราได้พบกับคุณชาย ขอเอ่ยตามตรงว่า พวกเรารู้สึกผิดหวังอย่างแท้จริง”
“เพราะเหตุใดหรือ ? ” เฉียนห้าวถามด้วยความสงสัย
“เพราะว่าคุณชายยังเยาว์เกินไป อายุเพียงแค่ 16 ปี เจ้าลองคิดดูเถิด เศรษฐีที่ดินที่อายุเพียง 16 ปี จะทำอันใดเป็นบ้างเล่า เขาจะเข้าใจอะไร แต่แล้วพวกเราก็ได้รู้ว่าสายตาของพวกเรานั้นมองผิดไป”
จากนั้นเยียนกุ่ยก็เอ่ยถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของดาบเทวะ และจุดกำเนิดตำราการฝึกดาบเทวะที่มีมาจนถึงทุกวันนี้
ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคุณชาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ทั้งชุดเกราะและอื่น ๆ ก็ด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของคุณชาย
“ฆ่า 20,000 คนให้ตกตายด้วยคน 1,000 คน แต่ก่อนเพียงแค่คิดก็มิกล้าแล้ว แต่คืนนี้ ดูสิว่ามันง่ายถึงเพียงใด แต่ถ้าเจ้าลองไตร่ตรองดูดี ๆ ถ้าหากมิได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ มิมียุทธวิธีและการประสานงานที่ดีและมิมีอาวุธชิ้นนี้… พวกเราจะเอาชนะคน 20,000 คนได้เยี่ยงไร ? ”
มิมีผู้ใดสามารถตอบคำถามของเยียนกุ่ยได้ ที่ได้รับชัยชนะในครานี้ก็เพราะว่ามีอาวุธชนิดใหม่ของคุณชาย
“ไป๋ยู่เหลียนเคยบอกว่า นี่เป็นกองทัพที่มิมีผู้ใดในใต้หล้านี้เหมือน ทุกคนในกองทัพนี้ล้วนเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด”
“ที่ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยมิได้ผิดเลย ข้ารับราชการในกองทัพชายแดนตะวันออกมาถึง 5 ปี และรู้ดีว่ากองทัพชายแดนของแคว้นอู๋เป็นเยี่ยงไร”
หัวหน้ากองพลที่สามวังเสี่ยวจู้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา เขารู้จักคุณชายเป็นอย่างดีแต่เขามิรู้ว่ากองทัพนั้นเป็นเยี่ยงไร เขาจึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ในแง่มุมของการทำสงคราม กองทัพชายแดนทางเหนือเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทว่าก็ยังรบแพ้กงเซินจ่างอยู่ดี… ดาบเทวะของพวกเราย่อมมิเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเราสามารถโจมตีกงเซินจ่างได้เป็นแน่ นี่เพียงแค่เปรียบเทียบให้พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเท่านั้น พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเถิดว่ามันมีความแตกต่างกันมากถึงเพียงใด ? ”
หวังเสี่ยวจู้นิ่งเงียบไป กองทัพชายแดนทางเหนืออ่อนหัดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
พวกเขาเป็นกองทัพประจำราชวงศ์หยู แต่โจรสักรายก็ยังจับมิได้ เลี้ยงไว้เปลืองข้าวเปลืองน้ำจริง ๆ
“แน่นอนว่าพวกเจ้าอย่าได้ประมาทกองทัพชายแดนเป็นอันขาด พวกเขาสามารถเอาชนะพวกเราได้เพราะจำนวนคนที่มากกว่า ถ้าหากพวกเราสู้บนที่ราบก็เท่ากับ 1,000 คนต่อ 100,000 คน… แสดงว่าครานี้ไป๋ยู่เหลียนจะต้องลงมาบัญชาการด้วยตนเอง มิมีอะไรที่สามารถคาดเดาได้ในตอนนี้”
เยียนกุ่ยเคาะกล้องยาสูบที่ขาของเขา เขม่าดำปลิวว่อนลงสู่พื้น และเอ่ยขึ้นว่า “พวกเราคือกองกำลังพิเศษและสิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการโจมตีแบบพิเศษอย่างเช่นในค่ำคืนนี้ เช่นนั้นทุกคนเชื่อมั่นและมั่นใจเข้าไว้ ถ้าหากทั้งสองกองทัพต้องเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราก็มิมีอันใดที่ต้องกลัว”
100,000 คนเยี่ยงนั้นหรือ มันจะเป็นฉากแบบไหนกันนะ ?
หวังเสี่ยวจู้และคนอื่น ๆ ยังมิมีภาพความคิดใดในหัวเลยแม้แต่น้อย เขาเกาหัวและเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าทั้งสองกองทัพเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราคงต้องอาศัยปืนใหญ่หงอีแล้วล่ะ ! ”
เยียนกุ่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เพียงแค่ปืนใหญ่หงอียังมิเพียงพอหรอก เมื่อข้าศึกบุกมาปืนใหญ่หงอีต้องใช้เวลาในการบรรจุกระสุนใหม่อีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องใช้บอลลูนไฟร่วมด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่ มันสามารถลอยเข้าไปหาศัตรูได้ และถ้าหากอยากทิ้งระเบิดละก็ นี้ถือเป็นโอกาสที่ดี ”
หวังเสี่ยวจู้ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ “แล้วถ้าหากให้บอลลูนไฟลอยไปยังจุดที่นายพลสูงสุดอยู่จากนั้นก็ทิ้งระเบิดลงมา แบบนี้จะมิดียิ่งกว่าหรือ”
“น่าเสียดายมากยิ่งนักที่บอลลูนไฟต้องอาศัยทิศทางของลมประกอบด้วย และในการทำสงครามพวกเรามิสามารถควบคุมทิศทางของลมได้ ดังนั้นข้าคิดว่าบอลลูนไฟนี้มีประโยชน์ แต่ก็มิได้มากมายอันใดนัก”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)