นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) นิยาย บท 42

สรุปบท ตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็ก: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

ตอน ตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็ก จาก นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็ก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายทะลุมิติ นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็ก

ฉินปิ่งจงนั่งอยู่ในสวนดอกบัว ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ เขาอ่านมันอย่างเพลิดเพลินนัก

หลานสาวของเขา ฉินรั่วเสวีย นั่งอยู่ด้านข้าง คอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยการต้มชาให้แก่เขา นางสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน กระโปรงปักลายดอกบัวสีชมพู ผมยาวถูกปล่อยเป็นธรรมชาติอย่างสลวย ใบหน้าของนางถูกแสงแดดส่องกระทบ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนดุจรากบัว

ขนตายาวโค้งงอนประดับดวงตากลมโตกำลังจ้องมองท่านปู่ด้วยความไม่พอใจเท่าใดนัก ปากน้อย ๆ เรียวบางค่อย ๆ มุ่ยขึ้น

นางเพิ่งได้รับหนังสือเล่มนี้จากต่งชูหลานซึ่งยังไม่ได้แม้แต่ชายตามอง กลับถูกท่านปู่ยึดเอาไปเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นตอนใหม่ล่าสุดเสียด้วย

นางอ่านบทที่แปด “เปิดเผยหลิงจินอิงเพียงเล็กน้อย เป่าชายและไต้ยวี่กลับยอมเสียหน้าตน” เอ่ยถึงเจี๋ยเป่าหยูที่แอบไปดูเซวียเป่าชาย แต่กลับบังเอิญพบกับหลินไต้ยวี่เข้า เจี๋ยเป่าหยูถูกหลินไต้ยวี่เยาะเย้ยถากถางแต่กลับมิได้โกรธเคือง เจี๋ยเป่าหยูเองก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก เหตุใดเขาถึงหลายใจได้เพียงนี้? ต่อจากนั้นนางเองก็มิทราบว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็มิใช่คนดีเช่นกัน เหตุใดเขาไม่เขียนให้จบเสียครั้งเดียว?จงใจแกล้งกันให้อยากติดตามเนื้อหาบทต่อไป แต่กลับเว้นระยะห่างเสียเนิ่นนานเช่นนี้!

ในขณะที่ฉินรั่วเสวียกำลังตำหนิติเตียนเขาอยู่ในใจนั้น ผู้เฝ้าประตูก็ได้เข้ามารายงานว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการเข้าพบท่านอาจารย์ฉิน

เอ๋ เขามางั้นหรือ!

ครั้งก่อนที่พบเจอกัน หนังสือเล่มนี้ยังมิได้เขียนและวางจำหน่าย หรืออาจเป็นได้ว่าในเมืองหลวงนั้นวางขายแล้วแต่นางอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับมา ครั้นมาถึงหลินเจียงได้เพียงไม่กี่วัน ก็ได้รับหนังสือจากต่งชูหลาน หากนางรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้เขียน ก็คงจะเอ่ยขอต้นฉบับมาอ่านก่อนแล้ว

บัดนี้ก็ยังไม่สายเกินไป

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามา มือทั้งสองข้างของเขากำขึ้นประสานกันเพื่อทำการเคารพฉินปิ่งจงและเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งเดินทางกลับมายังหลินเจียงเมื่อวานนี้และจะออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุนในวันรุ่งขึ้น พี่ชายท่านดูสิ ข้าเองเคยเอ่ยว่าต้องการเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดาที่แสนสำราญใจเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ช่วยไม่ได้เสียจริง!”

ฉินปิ่งจงวางหนังสือในมือลง ยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งนี้ดียิ่งนัก หาได้เหมือนข้าไม่ แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างเงียบเหงาและไร้ความหมายเสียจริง รั่วเสวีย ต้มชา เจ้าน้องชายเชิญนั่งเถิด”

ฉินรั่วเสวียชำเลืองตาไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเป็นประกาย ผู้นี้คือคนที่เขียนหนังสือความฝันในหอแดงงั้นหรือ นางลุกขึ้นยืนและรีบวิ่งไปทางห้องหนังสือ ฉินปิ่งจงมีท่าทีตกใจ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน

เพียงชั่วครู่ฉินรั่วเสวียก็วิ่งกลับมา ในมือนางถือพู่กันและน้ำหมึกวางลงต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน เอ่ยด้วยท่าทีเขินอายว่า “ท่านสามารถลงนามของท่านให้แก่ข้าลงบนหนังสือเล่มนี้ได้หรือไม่?”

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นหนังสือที่เขียนหน้าปกชื่อเรื่องว่าความฝันในหอแดง เขาก็หัวเราะออกมา คาดไม่ถึงว่าในสมัยนี้ก็มีสตรีเยี่ยงนี้อยู่เช่นกัน

จากนั้นเขาก็เปิดหนังสือไปหนึ่งหน้า ก็พบกับตัวอักษรสามตัวใหญ่สะดุดตา เขาตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าต่งชูหลานต้องการสิ่งใด

“ลายมือข้า เกรงว่าจะทำให้เจ้าตกใจเอาได้” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยตามความจริง

“อย่างไรคงไม่ถึงแก่ชีวิต ข้าหาได้กลัวไม่ ท่านลงนามตรงนี้เถิด” ฉินรั่วเสวียชี้ไปยังด้านหลังของหนังสือในหน้าที่สาม

“เช่นนั้นข้าจะเขียนแล้วนะ อย่าได้เสียใจในภายหลังเชียว”

“อืม!”ฉินรั่วเสวียยิ้มอย่างดีใจยิ่ง นี่คือหนังสือที่มีนามของผู้เขียนลงไว้ด้วยตนเองเป็นเล่มแรก หากนำไปอวดคาดว่าคงมีผู้คนไม่น้อยอิจฉานาง

เขามีรูปร่างหน้าตาที่สง่างาม อีกทั้งยังแต่งหนังสือได้น่าสนใจนัก แน่นอนว่าตัวหนังสือก็คง……

จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินรั่วเสวียก็เริ่มจางหายไป ในใจนางนึกหดหู่ยิ่งนัก หนังสือดี ๆ แท้ ๆ แต่กลับถูกทำลายเสียจนไม่น่ามอง

……

……

“ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น

“เมื่อเดือนเจ็ดวันที่หนึ่ง!” ฉิงปิ่งจงลุกขึ้นยืน สายตาเขามองออกไปยังที่แสนไกลแล้วเอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางไปยังเมืองหลวงนั้นมิใช่เพื่อช่วยเหลือประเทศ แต่ข้าไปเยี่ยมเยียนเยี่ยนเป่ยซี”

“เขาคือผู้ใดกัน?”

“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?” ฉินปิ่งจงหันหลังกลับมาถามฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไร

“บ้านตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองจินหลิง สืบทอดกันมาสามรุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าเอ่ยถึงเยี่ี่ยนหวินชวน อัครมหาเสนาบดีที่คอยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ก่อน บุตรชายของเขาก็คือเยี่ยนเป่ยซีอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน ส่วนบุตรชายของเยี่ยนเป่ยซีมีนามว่าเยี่ยนซือเต้าก็เป็นเสมียนของเสนาบดี ซึ่งอัครมหาเสนาบดีคนต่อไปคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา นี่คือตระกูลเยี่ยนแห่งราชวงศ์หยูที่เลื่องลือ อ้อ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเยี่ยนซีเหวินหลานชายคนโตของเยี่ยนซือเต้าผู้เป็นจอหงวน เขาชื่นชอบแม่นางต่งชูหลานยิ่งนัก”

ให้ตายเถอะ คู่ต่อสู้ของข้าช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ติดใจกับปัญหานี้ แต่เขากลับเอ่ยถามไปว่า “จากการคาดการณ์ของท่าน สงครามจะเกิดขึ้นเมื่อใด?”

ฉินปิ่งจงส่ายหัว “อาจจะเร็ว ๆ นี้ หรืออาจจะสามปีห้าปีหลังจากนี้ ในมือข้าไม่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่เลย ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าต้องการแผนการล่วงหน้าเท่านั้น”

“อีกอย่าง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกำลังเดินทางกลับฉีโจว ขบวนเรือจะเดินทางผ่านหลินเจียงในวันพรุ่งนี้และหยุดพักผ่อนที่นี่ในระยะสั้น ข้าคาดว่าในวันพรุ่งนี้เจ้าคงไม่สามารถเดินทางไปที่ใดได้”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะหนังสือความรักในหอแดงของเจ้าได้รับความนิยม และอีกอย่างหนึ่ง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคือพระมารดาขององค์หญิงเก้านั่นเอง”

[1] เพิ่มความทะเยอทะยานให้แก่ผู้อื่นจนทำลายศักดิ์ศรีของตน หมายถึง ยกย่องศัตรูและบั่นทอนกำลังใจฝ่ายตัวเอง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)