ตอนที่ 41 ชั่วพริบตาที่เดินผ่านไป
ความฝันในหอแดงได้แพร่ขยายไปทั่วเมืองหลินเจียง ร้านหนังสือหยุนจีรับผิดชอบการขายหนังสือเล่มนี้แต่เพียงผู้เดียว สถานการณ์ที่สินค้ามีไม่เพียงพอต่อความต้องการจะซื้อนั้น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
และการแพร่ขยายของความฝันในหอแดง ก็ทำให้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนดังกระฉ่อนขึ้นมาอีกครา
ตั้งแต่สำนักศึกษาจนไปถึงหอนางโลม ตั้งแต่ขุนนางไปจนถึงคนท้องถิ่นในตลาด ทุกคนต่างประหลาดใจกับเขาอีกครา ต่างคิดเช่นเดียวกันว่าเป็นเทพเหวินฉวี่ซิงที่จุติลงมาอยู่ในร่างของเขา
บัณฑิตในสำนักศึกษาและคุณหนูตระกูลใหญ่พวกเขาเหล่านี้ได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาประพันธ์แล้ว แต่ส่วนนางโลมและคนท้องถิ่นต่างชื่นชอบบทกวีในหนังสือเล่มนั้น โดยเฉพาะคิ้วแข็งโค้งบทนั้น ยิ่งทำให้ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
คิ้วแข็งโค้งที่อยู่ในหนังสือนั้น ถูกขับร้องครั้งแรกโดยเซวี๋ยเฟยเฟยนางโลมแห่งหอหงซิ่งจาว บนน่านแม่น้ำฉินหวาย ณ จินหลิง ไฟปะทุขึ้นที่จินหลิง และลามไปจนถึงหลินเจียง เมื่อได้มีการร้องจากฝานตั่วเอ๋อร์นางโลมแห่งหออี้หง ณ หลินเจียง ดังนั้นที่หลินเจียงก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน
สำหรับความฝันในหอแดง มีคนยกย่องว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยความสามารถทางด้านบทกวี และก็มีบางคนที่ดูถูกคำอธิบายลามกที่มีอย่างมากมายในหนังสือเล่มนี้ บอกว่าเห็นแต่เพียงความคิดสกปรกที่อยู่ภายในจิตใจ มีทั้งสรรเสริญและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ไม่อาจหยุดการบูชาเขาอย่างคลั่งไคล้ของเหล่าเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความฝัน
แต่ไม่ว่าจะจินหลิงหรือหลินเจียงรวมไปถึงยักษ์ใหญ่ทางด้านวรรณกรรมในเมืองหรือมณฑลอื่น ๆ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีใครออกมากล่าวอันใด เนื่องด้วยการตีความของหนังสือเล่มนี้ซับซ้อนเกินไป บทกวีในหนังสือก็ยอดเยี่ยมมาก แต่หากพูดถึงเนื้อหาด้านใน พวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หลังจากที่อ่านจนจบจะมารวมตัวกันที่ฉินหวายเพื่อแลกเปลี่ยน
แต่สำหรับจางเพ่ยเอ๋อร์แล้ว ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
เกี้ยวคันเล็กออกมาจากจวนจาง เดินทางผ่านถนนซีชุ่ย เลี้ยวไปอีกหลายถนนหลายตรอก ก็ได้มาถึงตรอกฉือปาหลี่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
เกี้ยวเล็กถูกจอดอยู่หน้าทางเข้าร้านสุราชีชื่อ จางเพ่ยเอ๋อร์เลิกผ้าม่านในเกี้ยวและแอบมอง ด้านนอกของหยู๋ฝูจี้ครื้นเครงอย่างยิ่ง แต่ทางชีชื่อนั้นกลับเงียบสนิท
นางสวมผ้าคลุมหน้า ย่างเท้าลงบนพื้น และเดินเข้าไปในร้านสุราชีชื่อ หากเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเพียงเท่านั้นนางจึงเดินออกมา ขึ้นเกี้ยว และกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปจวนฟู่”
ชีหยวนหมิงยืนอยู่ที่หน้าประตูและมองเกี้ยวเล็กจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และหันมามองหยู๋ฝูจี้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม แล้วกลับเข้าไปในร้าน
เกี้ยวนั้นหยุดที่หน้าประตูจวนฟู่ จางเพ่ยเอ๋อร์เดินลงมาจากเกี้ยวด้วยสีหน้ายินดี ในมือนางยังถือตะกร้าอีกใบไว้ด้วย และกล่าวกับทหารยามว่า “ข้าคือจางเพ่ยเอ๋อร์แห่งจวนจาง มาเพื่อเยี่ยมนายหญิงของพวกเจ้า โปรดแจ้งให้ทราบด้วย”
เพียงไม่นาน ก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งเดินออกมา ถอนสายบัวคำนับจางเพ่ยเอ๋อร์ และพานางเข้าไป
เรือนของจวนฟู่คือที่ที่ฉีชื่ออาศัยอยู่ ในยามนี้ฉีชื่อกำลังลูบท้องและเดินเล่นอยู่ที่ลานภายในจวน
ทั้งสองคนนั้นมิเคยพบกันมาก่อน แต่นางรู้ดีว่าที่จางเพ่ยเอ๋อร์มาหานาง ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อมาหาฟู่เสี่ยวกวน!
ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้าคนไม่เอาไหนนั่น หรือว่าถูกตะบองตีเข้าจนกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ไปแล้วจริง ๆ?
ทุกวันยามที่ทานข้าว ฟู่ต้ากวนจะคุยโวเรื่องไอ้เด็กนั่น กล่าวว่าเขานั้นได้ประพันธ์หนังสือและเป็นตำราล้ำค่าของจินหลิง กล่าวว่าหนังสือของเขาได้แพร่ขยายมาจนถึงหลินเจียงแล้ว และยังกล่าวอีกว่าเป็นตำราล้ำค่าของหลินเจียง จนถึงขั้นที่ฟู่ต้ากวนยังซื้อกลับมาถึง 10 เล่มด้วยกัน เขากล่าวว่าต้องการให้คนทั้งจวนได้อ่านกันถ้วนหน้า
บ้าไปแล้ว!
ฉีชื่อรู้สึกว่าตนเองนั้นก็ใกล้จะบ้าแล้วเช่นกัน
นามนั้นดังก้องอยู่ในหูของนางดังหวี่เหมือนเสียงแมลงวัน… ตีไม่ตาย พัดก็ไม่ไป จนทำให้นางอารมณ์เสียและทุกข์เกินคำบรรยาย
สมควรตาย ! ฉีชื่อเกลียดจนต้องถอยออกมาห่างๆ หาสถานที่ที่เงียบสงบ เพื่อคลอดบุตรอย่างสบายใจ
แต่หญิงสาวที่มากมายเหล่านั้นก็เหมือนกับขนมน้ำตาลที่เหนียวหนึบหนับ จางเพ่ยเอ๋อร์มิใช่คนแรกที่มาหานาง ก่อนหน้าที่จางเพ่ยเอ๋อร์จะมานั้น อย่างน้อยก็มีหญิงสาวกว่ายี่สิบคนที่ขอพบนางเป็นการส่วนตัวแล้ว
สงวนตัวหรือ ?
คำสอนหญิงหรือ ?
เห็นมาหมดไส้หมดพุงแล้ว !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)