ฟู่เสี่ยวกวนลืมเรื่องคณะทูตเจรจาของแคว้นอี๋ไปเสียสนิท
แต่ต่อให้เขาจำมันได้ก็มิใส่ใจอยู่ดี แคว้นที่แพ้สงครามมิมีคุณสมบัติมากพอให้ต้องต้อนรับ
ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจฟังเรื่องราวชีวิตในสลัมที่หลู่เสี่ยวตงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด จึงได้เข้าใจถึงเรื่องคดีหมั่นโถวนองเลือดนั้นว่าแท้จริงแล้วเป็นเยี่ยงไร
ที่นี่คือเมืองจินหลิง !
เป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในราชวงศ์หยู !
แต่ก็ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดในแต่ละวันได้เยี่ยงไร !
เพียงเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียว กลับทำให้สูญเสียชีวิตไปได้ถึง 3 ชีวิต
ในใจลึก ๆ ของเขารู้สึกหนักอึ้งมากยิ่งนัก เขามิใช่นักบวชหรือผู้อุทิศตนใด ๆ อีกทั้งมิเคยคิดจะเป็น แต่นี่คือมุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ชาติที่แล้วของเขา
มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน !
ที่ผู้คนในสลัมมิมีอาภรณ์สวมใส่และอาหารประทังชีวิตนั้น มิใช่เพราะพวกเขาเกียจคร้าน แต่เป็นเพราะเมืองจินหลิงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ มิมีที่ใดที่จะต้อนรับพวกเขาเลย
ที่นี่คือที่ใช้ชีวิตของคนมีเงินมีทอง ส่วนพวกเขามาผิดที่แล้ว
ที่นี่ปราศจากอาชีพการงานที่มั่นคงแก่พวกเขา ที่นี่ไร้ผืนนาว่างเปล่าที่พวกเขาพอจะทำการเพาะปลูกได้
ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตที่ลำบากเป็นอย่างมาก พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ในแต่ละวันด้วยความยากลำบากอย่างแท้จริง
“ประเดี๋ยวเจ้ากินข้าวเย็นให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไป เมื่อกลับไปแล้วจงไปส่งข่าวของข้าให้ผู้คนในสลัมฟังด้วย”
หลู่เสี่ยวตงดีใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า “ข้าน้อยจะนำข่าวของคุณชายไปประกาศแก่พวกเขาอย่างแน่นอนขอรับ”
ณ เวลานี้ ความกังวลและอึดอัดใจที่มีอยู่เพิ่งจะจางหายไป เขาเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณชายฟู่เป็นกันเองถึงเพียงใด ที่ลูกพี่ลูกน้องของเขากล่าวไว้มิมีผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย พวกเขามิได้สรรเสริญเยินยอจนเกินจริง
คุณชายฟู่แตกต่างจากคุณชายคนอื่น ๆ ในใต้หล้านี้ !
เขามิได้ดูถูกหลู่เสี่ยวตงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังได้เชิญชวนให้หลู่เสี่ยวตงนั่งตรงข้ามกับเขาเพื่อดื่มชาและสนทนากัน
พวกเขาสนทนากันตั้งแต่เรื่องที่อพยพมาจากชายฝั่งของแม่น้ำหวงเหอว่ายากเย็นถึงเพียงใด กระทั่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง และเพื่อหาที่พักอาศัย เขาจึงได้นำเครื่องประดับที่มีค่าเล็กน้อยที่ติดตัวของภรรยามาไปจำนำเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
และเล่าถึงเรื่องที่ตนทำงานก่อสร้างอาคารหยูฝู แต่บัดนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้ตกงาน
และเล่าถึงเรื่องภรรยากับลูกสาวของเขา อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะหมั่นโถวเพียงลูกเดียวที่สลัมเมื่อวานนี้เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจก่อสร้างและขยายอาณาเขตที่เรือนหนานซานด้วยความรวดเร็ว การที่จะทำสิ่งเหล่านี้ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก และในสลัมก็มีผู้คนมากมายที่ต้องการงานที่มั่นคง
ดังนั้นจากมุมมองของฟู่เสี่ยวกวน ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับหลู่เสี่ยวตงแล้ว เขามองว่านี่คือเทพเจ้าที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาเอาไว้ !
“เจ้าจงไปบอกกับชาวบ้านในสลัมทุกคนว่า ข้าจะทำการก่อสร้างที่เรือนหนานซาน ต้องการคนราว…30,000 คน”
หลู่เสี่ยวตงตื่นเต้นดีใจมากยิ่งนัก เขารีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น ก้มหัวคารวะอยู่สามทีแล้วร้องไห้โฮออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ข้า หลู่เสี่ยวตง ขอสาบานว่าตระกูลหลู่ชั่วลูกชั่วหลานจะขอเป็นบ่าวรับใช้จวนฟู่ไปตลอดกาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าเมื่อหลู่เสี่ยวตงได้ยินคำเอ่ยนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาที่ซาบซึ้งถึงเพียงนี้ เขาผงะไปชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นพยุงหลู่เสี่ยวตงให้ยืนขึ้นมา
“เจ้าอย่าได้เอ่ยเยี่ยงนี้เลย มิมีเรื่องใดเป็นสิ่งแน่นอน เจ้านั้นเป็นชายหนุ่มที่ดี ควรจะทุ่มเทเพื่อครอบครัวและตระกูลของเจ้าแล้วทำให้รุ่งเรือง”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “วันรุ่งขึ้น…ราวยามเฉิน ข้าจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พวกเจ้าพักอาศัยอยู่ หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้วจงไปบอกกับพวกเขาว่าให้จัดการเก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะเดินทางไปยังเรือนหนานซานและอาศัยอยู่ที่นั่นระยะยาว นำเพียงเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนไปก็พอ ส่วนของอย่างอื่นข้าจะจัดการให้เอง”
หลู่เสี่ยวตงแสดงความขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจอีกครา เขามิได้อยู่กินมื้อค่ำที่จวนฟู่ เขากล่าวว่าอยากจะนำข่าวดีนี้ไปบอกกับครอบครัวและคนอื่น ๆ ในสลัมให้เร็วที่สุด
……
……
“ผู้คนจำนวน 30,000 คนเชียว เรื่องที่พักจะจัดการเยี่ยงไรกัน ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นห่วง
คงจะมิให้คนเหล่านี้เข้าไปอาศัยที่เรือนหนานซานใช่หรือไม่ ?
ถึงเยี่ยงไรเสียที่แห่งนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ของวังหลวง ข้อปฏิบัติเหล่านี้…เจ้าจะละเลยไปมิได้เป็นอันขาด !
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)